รีเซต

บทละคร คุ้มนางครวญ ตอนที่ 7

บทละคร คุ้มนางครวญ ตอนที่ 7
24 มกราคม 2557 ( 17:47 )
6.8K

คุ้มนางครวญ ตอนที่ 7

บทประพันธ์ดัดแปลงจากบทประพันธ์ เรื่อง คุ้มนางครวญ ของ สรรัตน์ จิรบวรสุทธิ์

บทโทรทัศน์วิสุทธิชัย บุณยะกาญจน



การซ้อมบทช่วงสองใกล้จบสิ้นถึงฉากความตายของยอดหล้า มาลารินมองตรีภพ ยื่นมือลูบไล้หน้า เลิกก้มลงอ่านบท แสดงว่า
เตรียมตัวมาอย่างดี
“ข้ามีบุญนัก ที่ได้เห็นหน้าพี่ ก่อนที่ความตายจะปิดดวงตาที่เหลือของข้า”
“เจ้านาง พี่ทำผิดต่อท่าน”
“คนผิดมิใช่พี่ แต่คือ.. ดาราราย”
“ไม่ใช่ แต่คือพี่ พี่ผิดเหลือเกิน เจ้านางให้พี่ทุกสิ่ง แต่พี่ไม่ได้ให้อะไรตอบแทนเลย”
“ไม่จริงหรอก เพลงนี้ไงเจ้า พี่แต่งให้ข้า ข้าจะเล่นให้พี่ฟัง ฟังเพลงของเรา”
“ใช่ เพลงของเรา”



มาลารินลดมือลง ทำท่าดีดซึง ตรีภพมองน้ำตาคลอ มาลารินมองตรีภพ
“พี่คือดวงตะวัน ข้าคือจันทรา”
มาลารินคลายมือ เอียงซบ แน่นิ่งไป ตรีภพผวาเยือก “เจ้านาง”


ทุกคนปรบมือให้กับการแสดงของมาลาริน พิมพ์ดาวก็ปรบมือด้วย แต่ยังรู้สึกตะหงิดๆ ในใจ 
“ดี” ฐาปกรณ์เอ่ยชมยังไม่ทันจบ บีบีก็พูดแทรกขึ้นมา
“ดีมากค่ะ ลูกขา น้องตรีด้วย อินเนอร์ดี การออกเสียงก็ดี อารมณ์ได้ แต่ว่าท่วงท่ามันยังน้อยไป”
ฐาปกรณ์ขยับปากจะด่าบีบี มาดามสุจิกแขนผัวไว้ทัน หันมาฉีกยิ้มกับบีบี
“วุ้ย คุณบี นี่แค่นั่งอ่านบท ยังไม่ต้องเว่อร์มหากาพย์หรอกค่ะ”

มาลารินลืมตาขึ้น แต่ยังคงร้องไห้ไม่หยุด มาลารินโผเข้ากอดซบอกตรีภพสะอื้น ตรีภพยืนอึ้ง พิมพ์ดาวตอนแรกตกใจ  แล้วขำ
พูดเบาๆ
“พี่เทพ ปลอบเจ้าพี่หน่อยสิเจ้า”
ตรีภพมองพิมพ์ดาวค้อนๆ แล้วลูบผมมาลาริน มาลารินร้องอีกโฮ
“ลินซี่ ลินซี่ ใจดีๆไว้ครับ”
บีบีน้ำตาซึม ควักผ้าเช็ดหน้ามาซับหัวตาตัวเอง แล้วเข้ากอดทับมาลารินและตรีภพ 
“โถ ลูกขา ยังอินอยู่”


ฐาปกรณ์มองหน้าสุชาดา “เออดี กองละครกู มีแต่ศิลปินห้าร้อยจำพวก”
กลุ่มมีมี่ ลูกกบ เปรย “สนุกแน่แก กองนี้ บ้าตั้งแต่นางเอกกะผู้จัดการลงมาเลย”
มาลารินร้องให้โฮใหญ่


หลังจบการซ้อม มาลารินนั่งระทดระทวยดมยาดม ฐาปกรณ์เป็นห่วง
“เป็นยังไงบ้างหนู”
“ยังเจ็บแปลบๆอยู่ข้างในอกอยู่เลยค่ะ”
มาลารินแอ่นอก เอามือลูบประกอบคำพูด รักกำลังเสิร์ฟขนมชะงักกึกมองดู ฐาปกรณ์ถลึงตา รักยิ้มแห้งๆออกไป ตรีภพเห็นพิมพ์ดาว
จิบกาแฟด้วยสีหน้าครุ่นคิด จึงถามขึ้น
“มีอะไรหรือคุณ” 
“คะ?”
“ผมรู้สึกเหมือนคุณมีอะไรอยู่ในใจ”
พิมพ์ดาวนิ่ง ฐาปกรณ์ชักอยากรู้ “พูดมาเถอะหนูพิมพ์”
“พิมพ์ไม่ได้เรื่องมากหรอกนะคะ แต่พิมพ์ว่าบทดารารายดูแปลกๆ”
บีบีพูดลอยลมมา “อย่างนี้แหละเขาเรียกเรื่องมาก สตอรี่เยอะ”
“ยังไงล่ะหนู” ฐาปกรณ์ไม่สนใจบีบี
“พิมพ์ว่าบทดารารายน่าจะมีอะไรมากกว่านี้ค่ะ เช่น ความสัมพันธ์กับพี่สาว หรือกับตัวหลวงเทพ”
มาดามสุพยักหน้า “อ๋อ กลัวบทจะน้อย”
“ไม่ใช่นะคะ หนูแค่กำลังงงๆ ว่าจะเล่นยังไง เป็นนางร้ายแบนๆที่อิจฉาพี่สาวมาตลอด แล้วลุกมาแย่งผู้ชายกัน ทุกอย่างเป็นการเสแสร้ง
หรือว่าเป็นคนธรรมดาที่มีคอนฟลิก แล้วก็มีกิลท์กับพี่สาวด้วย ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าในบางฉาก บางไดอะล็อค ต้องมีอินเนอร์แบบอื่น”
“ต๊าย ไซโคอนาไลซิส นี่ ละครเรื่องนี้ช่องให้ปั้นนางเอกนะคะ ไม่ใช่ส่งเสริมการขายให้นางร้าย” บีบีหมั่นไส้
“แต่ถ้านางร้ายมีสีสัน นางเอกก็ยิ่งเด่นนะคะ”
“แต่ที่คุณพิมพ์พูดมาก็น่าสนใจนะครับ” ตรีภพเห็นด้วย
พิมพ์ดาวมองตรีภพแบบ ไม่ต้องมาช่วยฉัน
“อือม์ พี่ก็ว่าอย่างนั้น เอาอย่างนี้หนู ไว้พี่จะคุยกับคนเขียนบทอีกทีนึง” ฐาปกรณ์รับปาก




ตรีภพเดินตามพิมพ์ดาวมาที่ลานจอดรถ “นี่คุณ พรุ่งนี้ว่ายังไง”
พิมพ์ดาวหันไปมองอย่างรำคาญ “พรุ่งนี้อะไร ไปวัดน่ะหรือ วันนี้เหนื่อยจะตาย ฉันไม่ไปหรอก”
“ทำบุญทำทานก่อนเริ่มงานน่ะ งานจะได้ออกมาราบรื่นนะ”
พิมพ์ดาวมองตรีภพ แล้วเชิดหน้าพูด “ไม่เห็นเป็นไรเลย พอวันบวงสรวง ฉันก็ไปแย่งไข่ต้มยอดบายศรีมากิน อ้อ แล้วก็กินกล้วยด้วย”
ตรีภพหัวเราะเบาๆ “คุณนี่”
ทั้งคู่เดินต่อไปถึงรถตรีภพ ซึ่งจอดอยู่ใกล้กับรถของบีบี 
มาลารินแกล้งทำเป็นเซเกาะรถ
“ลูกขา แต่ยังไงคุณพี่ก็ต้องไปลูก”
“แต่ลินซี่ปวดศีรษะนี่คะ ไปส่งลินซี่ก่อนเถอะค่ะ”
บีบีดูนาฬิกา “ไม่ได้ค่ะ ลูกขา งานจ่อปลายลำไส้ใหญ่ขนาดนี้ หนูกลับแท็กซี่ก็แล้วกัน”
“ก็ได้ค่ะ”
“แล้วก็อย่าไปหลับในแท็กซี่นะคะ เดี๋ยวมันพาหนูไปไหนต่อไหน”
มาลารินทำเป็นไม่เข้าใจ “ไปไหนต่อไหน คืออะไรคะ ลินซี่ไม่เข้าใจ”
“อุ๊ย คุณลินซี่ต้องเรียกแท็กซี่ทำไมคะ คุณตรีไปส่งลินซี่หน่อยซีคะ” พิมพ์ดาวแกล้งว่า
“แหม จะดีหรือคะ รบกวนคุณตรี” มาลารินอิดออด
“ดีซีคะ ลูกขา คุณตรีอุตส่าห์มีน้ำใจ ฝากด้วยนะคะ ช่วงนี้ลินซี่กำลังป่วยด้วย”
“ครับ.. ได้เลยครับ”
“หมดเรื่องหมดราวแล้วนะคะ พิมพ์ไปล่ะ” พิมพ์ดาวมองหน้าตรีภพ แล้วเดินไปยังรถที่จอดอยู่ไกลลิบเหมือนเดิม ตรีภพยิ้มกับมาลาริน
        “เชิญครับ”
ตรีภพพามาลารินที่เดินเซอ่อนแรงไปขึ้นรถ บีบีรีบขึ้นรถ คว้ามือถือมาถ่ายภาพทั้งคู่
        “จะเสร็จมันไหมหนอ เสียดายคุณตรี”
พิมพ์ดาวอยู่ในรถ เห็นรถตรีภพแล่นผ่านไป มาลารินซบพนัก คอพับคออ่อน ตรีภพชี้หน้า พิมพ์ดาวสะใจ
รถบีบีแล่นตามรถตรีภพไป พิมพ์ดาวไม่ทันคิดอะไร



รถตรีภพแล่นมาถึงคอนโดของมาลาริน ตอนจอดรถ เกือบมีเรื่องกับราเชนทร์ ดาราที่รับบทผู้ร้ายอยู่บ่อยๆ
“อ้าว นึกว่าใคร คุณพระเอกนี่เอง”
“ทีหลังอย่าเปิดประตูโครมออกมาอย่างนี้ซีคุณ ดีนะที่ไม่โดน”
“นั่นดิ แล้วจะยังไง”
ราเชนทร์เห็นมาลารินลงรถตรีภพมา ราเชนทร์เปลี่ยนท่าที
“โอเค มีแบด ผมผิดเอง”
“ไม่เป็นไร ผมเองก็ผิดเหมือนกันที่ไม่ได้ดูให้ดี”
“ฮะ คุณน่าจะดูให้ดีกว่านี้ โอเค”
ราเชนทร์เฉียดผ่านมาลาริน มองดูมีแววเจ้าชู้ มาลารินตัวลีบ ขยับมาแอบหลังตรีภพ

“ใครน่ะคะ ดูเป็นบูลลี่จัง”
“คนในวงการนี่แหละครับ เด็กนอกไฮโซ ชอบรับบทผู้ร้ายแบดบอยอยู่บ่อยๆ คุณลินซี่ไม่รู้จักหรือครับ”
“ลินซี่เพิ่งมาเมืองไทย ไม่รู้จักหรอกค่ะ”
“สงสัยอยู่คอนโดนี้เหมือนกัน เชิญครับ”
“ส่งลินซี่ แค่นี้ก็ได้ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ว้าย” มาลารินเซเข่าอ่อน ไปเกาะแขนตรีภพ
“โธ่ คุณยังอาการไม่ดีเลย ผมไปส่งคุณให้ถึงที่ดีกว่า”
“ค่ะ ถึงที่”
ตรีภพพามาลารินเดินตรงไปยังคอนโด บีบีจอดรถซุ่มในเงามืด ใช้มือถือถ่ายรูปรัว “ส่งไปเจ้าไหนดีล่ะ”



ตรีภพกับมาลารินอยู่ในลิฟต์เพียงสองคน มาลารินทำตาแป๋ว
“เอ้อ คุณตรีมาส่งลินซี่แบบนี้ คุณพิมพ์ไม่ว่าจริงๆนะคะ”
ตรีภพสวมบทว่ายังคบหากับพิมพ์ดาวอยู่
“จะว่าได้ยังไงล่ะครับ เขาเป็นคนบอกให้ผมมาส่งเอง”
“แล้วไม่ใช่ไปโกรธกันทีหลังนะคะ”
“ไม่หรอกครับ พิมพ์เขาไม่งี่เง่า”
มาลารินยิ่งรู้สึกท้าทาย “ดีจัง”


มาลารินเดินนำเข้ามาในห้องโถงคอนโดหรู ตกแต่งสวยหวานโรแมนติก ตรีภพเดินตามเข้ามา
“เชิญซีคะ”
“ห้องคุณลินซี่สวยมาก”
มาลารินผายมือไปที่โซฟา “เชิญนั่งก่อนซีคะ ดื่มอะไรซักหน่อยก่อน”
“ดีเหมือนกันครับ วันนี้เหนื่อยจริงๆนะครับ”
ตรีภพนั่งลงที่โซฟา มองดูรอบๆ มาลารินถือขวดเบียร์มาส่งให้
“ตามสบายนะคะ” มาลารินเปิดทีวีจอกว้าง ส่งรีโมทให้ตรีภพ “ขอตัวลินซี่เดี๋ยวนะคะ”
“เชิญครับ”
ตรีภพจิบเบียร์ เปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อยๆ 

__________________________________________________________________



ด้วยความเหนื่อยอ่อน ตรีภพเผลอหลับคอพับอยู่กับโซฟา ขวดเบียร์หล่นจากมือกระทบพรม ตรีภพสะดุ้งตื่นขึ้น มองดู
รอบๆตัว “เฮ้ย หลับไปได้ยังไงวะ” ตรีภพมองดูรอบๆห้องก็แปลกใจที่ไม่เห็นมาลาริน ตรีภพลุกขึ้น
“คุณลินซี่ครับ คุณลินซี่”  
ตรีภพเดินตัดห้องโถง ไปยังห้องนอนของมาลาริน เห็นประตูเปิดแง้มอยู่ มีเสียงเพลงเบาๆ ตรีภพลังเลแล้วเคาะประตู
        “คุณลินซี่ครับ คุณลินซี่” ตรีภพลังเลแต่นึกถึงที่บีบีฝากให้ดูแล เลยตัดสินใจผลักประตูเข้าไป ตรีภพคว้ารีโมท
เครื่องเสียงปิดเพลง ทำให้ได้ยินเสียงน้ำในห้องน้ำ ควันน้ำร้อนฟุ้งออกมาจากห้องน้ำ ตรีภพลังเล แต่อีกใจก็กลัวจะเป็น
เรื่องร้าย จึงก้าวไป พบว่าประตูห้องน้ำเปิดแง้มอยู่ ตรีภพลังเลอีกหนึ่งหน “คุณลินซี่ครับ”


ตรีภพมองเข้าไป ท่ามกลางควันจากไอน้ำร้อน มาลารินเปลือยเปล่า คล้ายกับเป็นลมแล้วไถลเลื่อนจมลงในอ่าง ตรีภพ
พรวดเข้าไป ตวัดผ้าเช็ดตัวมาคลุม อุ้มร่างมาลารินขึ้น มาลารินสำลักกระอักกระไอ ตรีภพใจชื้นขึ้น อุ้มออกมาวางบนเตียง
น้ำหนักตัวทำให้ล้มลงเกือบจะทาบทับ มาลารินกลับมองตาแป๋ว ปากเผยอ ไม่ได้มีอาการเฉียดตาย ตรีภพเองก็อึ้งไป รีบขยับลุกขึ้น
“คุณเป็นยังไงบ้าง”
มาลารินเอามือจับผ้าเช็ดตัว ป้องกายไว้หมิ่นเหม่
“ลินซี่แช่น้ำ แล้วก็หน้ามืดจมน้ำค่ะ ดีนะคะที่คุณตรีมาช่วยลินซี่ไว้”
ตรีภพขยับถอยมา หันข้างให้ “เอ้อ คุณลินซี่แต่งตัวก่อนดีกว่าครับ”
มาลารินหน้าแดง กัดริมฝีปากตัวเอง ขยับตัวลุกขึ้น
“ลินซี่อายจังเลยค่ะ ไม่เคยอายอะไรอย่างนี้เลย”
“โธ่ อย่าคิดมากครับ ผมไม่ได้เห็นอะไรซักหน่อย”


มาลารินมองตรีภพ มือจับผ้าเช็ดตัว แล้วหันรีหันขวาง จากนั้นก็สะดุดขาตัวเองล้มผวาเข้าในอ้อมอกตรีภพ ที่หันมารับไว้ทัน
ผ้าเช็ดตัวหลุดลงกองกับพื้น เหลือแต่ร่างเปลือยเปล่า มาลารินเงยหน้าดูตรีภพ มีแววขลาดอาย ยวนยั่ว ตรีภพเริ่มเชื่อครึ่งไม่เชื่อ
ครึ่งเรื่องหน้ามืด
“คุณตรี”
ตรีภพรวบรวมสติ พยายามมองสูง
“ผมไปก่อนดีกว่า”
ตรีภพแกะมือมาลารินออก หันขวับเดินออกไป มาลารินผิดหวังนิดหน่อย แต่ไม่ยอมแพ้ สวมเสื้อคลุมบางเบาเดินตามออกมา
เห็นร่างสูงยืนก้มหาของอยู่ในตู้เย็น มาลารินเข้าไปโอบกอดจากด้านหลัง เอาอกเบียด
        “คุณตรี คุณช่วยชีวิตลินซี่ไว้ ขอบคุณมากนะคะ”
‘ตรีภพ’ ตัวแข็ง มาลารินยิ้มในหน้า หลับตาถูไถตัว ร่างนั้นหันมา มาลารินแหงนเงย เผยอปาก ร่างนั้นหันมาจูบปากบดขยี้
มาลารินพอใจ
“คุณตรี คุณตรีขา”
“อืมม์”
มาลารินชะงัก ลืมตา เห็นว่าชายในอ้อมกอดคือราเชนทร์ก็เบิกตากว้าง ขยับถอยออก
        “โอ ชิท แดมน์”
มาลารินขยับถอย ท่าทางกลายเป็นนางร้าย แม้กระทั่งเสียงไร้เดียงสาก็หายไปหมด ราเชนทร์ยิ้ม มองอย่างขบขัน แล้วบีบเสียง
“คุณตรีขา คุณตรี คุณตรีของยู วิ่งหน้าซีดตาเหลือกลงลิฟต์ไปแล้ว ท่าทางเหมือนเห็นผี”
“ไม่ใช่ผีหรอก เห็นอย่างอื่น”
มาลารินคว้าขวดไวน์มารินดื่ม เดินไปนั่งไขว่ห้าง ชุดแหวกสูง ท่าทางนางร้ายเต็มสูบ
“นี่ยูหลอกมันมาปล้ำหรือ”
“เปล๊า แค่ฉายทีเซอร์หนังตัวอย่างให้ดู แต่ถ้าได้ก็ดี”
ราเชนทร์มานั่งใกล้อย่างคนคุ้นเคย
“ไอ้พระเอกนี่ มีแฟนแล้วนี่ เธอจะแย่งแฟนคนอื่นอีกหรือ”
“แย่งมาทำบ้าอะไร แค่ขอยืมชั่วคราว ซักเดือนสองเดือน”
“อ๋อ แค่แก้คัน”
มาลารินยิ้มรับเหมือนเป็นคำชม หันมาหาราเชนทร์ หูตาเริ่มพราวขึ้น
“วันนี้อ่านบท เหนื่อยเหมือนจะตาย นวดให้หน่อยซี”
มาลารินหันหลังให้ราเชนทร์นวดต้นคอ ไหล่ มาลารินเริ่มคราง เลื่อนเสื้อให้ตกจากไหล่
“โอว์ อุ๊ว์”
“นี่ยูเมื่อยหรือว่าคันกันแน่”
มีร่างหนึ่งถือมือถือ ย่องดอดมา โผล่ไชด์บอร์ด ถ่ายรูป และคลิปทั้งสองไว้ มือไม้สั่น ราเชนทร์มอง
“อ้าว อีเจ๊ ทำอะไร”
บีบีลืมตาโพลง ก้าวมาเท้าสะเอว “ว้าย ไอ้เชน ทำไมเป็นแกยะ”
“นังนี่ทำไก่ตื่น วิ่งโร่หนีไปแล้ว”
“ตื่นเติ่นอะไร ยิ่งเล่นตัวซีดี ยิ่งสนุก” มาลารินลุกขึ้น “ไปเหอะ ไปนวดต่อในห้องดีกว่า”
มาลารินจูงราเชนทร์ไปยังห้องนอน บีบีมองตามแล้วเชิดใส่
“หวังฟันพระเอก ลงท้ายได้แค่ผู้ร้ายปลายแถว เชอะ อีปลวก”

__________________________________________________________________



บนกุฏิแบบเรือนไม้เล็กๆ หลวงตาท่าทางสมถะ นั่งบนอาสนะแบนๆ มองมาอย่างปราณี จันทรา ตรีภพ พิมพ์ดาว พิมพ์เดือน ก้มลง
กราบแล้วเงยหน้าขึ้น พิมพ์ดาวมองตรีภพอย่างหมั่นไส้ พึมพำเบาๆ “สร้างภาพ”
“นี่ใครล่ะ โยมจันทรา ลูกชายหรือลูกเขย”
        “ไม่ใช่ค่ะ อาตมา เอ๊ย พระคุณเจ้า” พิมพ์ดาวตกใจ 


จันทราเซ็งลูกสาว “เพื่อนของลูกสาวค่ะ หลวงพ่อ”
“แต่สนิทกันเหมือนลูกชาย หรือลูกเขยค่ะ หลวงตา” พิมพ์เดือนผู้สนิทสนมกับหลวงตาพูดเล่น 
หลวงตายิ้มนิดๆ  “คนเราเวียนว่ายตายเกิดมาจนนับชาติไม่ถ้วน ท่านว่าไม่มีใครเลยที่ไม่เคยเกิดมาเป็น
ญาติกัน”
พิมพ์ดาวย่นจมูกไม่เชื่อ หลวงตามองตรีภพ จันทรา
“อย่างคุณโยมกับหนุ่มนี่ อาจเกิดเป็นคู่แม่ลูกกันเมื่อชาติก่อน”
“ก็ดีซีคะ”
“ทุกสิ่งเกิดมาแต่เหตุ กฎแห่งกรรมมีเหตุและผลเสมอ แม้จะผูกพันกันเท่าใดก็ต้องรู้ว่าทุกสิ่งล้วนย่อมเปลี่ยน
แปร ไม่มีสิ่งใดที่เราควรยึดมั่นถือมั่น
“เจ้าค่ะ ตอนนี้ก็ปล่อยๆไปได้หลายอย่างแล้วค่ะ”
พิมพ์ดาวเริ่มยุกยิก หลวงตามอง “หนูท่าจะรำคาญเต็มทีแล้ว”
“ไม่ใช่นะคะ อาตมา เอ๊ย หนูแค่เป็นห่วงปลาค่ะ”
“อุ๊ยตาย ลืมไปเลย ไป รีบไปปล่อยก่อนลูก”
“ไปยายเดือน”
“ไม่ไปค่ะ แดดร้อน พี่พิมพ์ไปกับพี่ตรีเถอะค่ะ”
พิมพ์เดือนชงให้ พิมพ์ดาวมองอย่างอาฆาตน้อง ตรีภพยิ้มกริ่ม พิมพ์ดาวถลึงตาใส่ แล้วเบือนหน้ามาเห็นหลวงตามองดูอยู่ก็หด รีบทำ
เสงี่ยม ตรีภพกลั้นหัวเราะ


ปลาดุก ปลาช่อน อย่างละ 10 กว่าตัวถูกเทจากถุงพลาสติกใหญ่ลงในน้ำ มันแหวกว่ายอย่างดีใจ พิมพ์ดาวกับตรีภพยืนขึ้นมองดู
ปลาหลายตัวยังลอยตัวเหมือนมองดูทั้งคู่
“มองอะไร ไปได้แล้ว” 
พิมพ์ดาวสุขใจจนหน้าเปล่งปลั่ง ตรีภพมองดู เห็นความงามสดใสนั้น
“โอโฮ ได้บุญทันตา ท่าทางคุณมีความสุขมาก”
“ไม่รู้ ฉันชอบปล่อยปลา ฉันชอบตอนมันมองหน้าขอบคุณแบบเมื่อกี้”
“ท่าทางคุณเป็นพวกชอบทำบุญกับสัตว์ คนพิการ เด็กกำพร้า แต่ไม่ชอบทำกับพระใช่ไหม”
พิมพ์ดาวชะงัก “แล้วทำไม”
“ไม่ทำไม แต่คนรุ่นใหม่เป็นอย่างงี้กันเยอะ บอกว่าข่าวแย่ๆของพระสมัยนี้ทำให้เสื่อมศรัทธา”
“ฉันไม่ได้เสื่อมศรัทธาอะไรหรอก แต่ฉันเห็นว่าคนทำบุญกับพระเยอะแล้ว พวกสัตว์พิการเด็ก
ยากจนไม่ค่อยมีคนทำต่างหาก”
“ก็เขาเชื่อว่าทำบุญกับพระได้บุญมากกว่าไงครับ”
“ฉันว่าคนที่ทำบุญมัวแต่หวังได้กำไรให้เยอะที่สุดนี่ ถือว่าโลภ จัดว่าเป็นบาปเหมือนกัน”
“ไม่มีพระวัดไหนมาสอนแบบที่คุณว่าหรอกฮะ”
ตรีภพรู้สึกยิ่งใกล้ชิดและรื่นรมย์ใจ พิมพ์ดาวเองก็รู้สึก แต่แล้วก็นึกได้ว่าชักสนิทเกิน
“นี่ ไม่ต้องมาตีซี้กับฉันมาก กลับกันได้แล้ว”
“ผมมาตีซี้อะไรคุณ นี่ผมมาทำบุญต่างหาก”
พิมพ์ดาวเชิดใส่ เดินมาก่อน ตรีภพเดินตาม


เมื่อพิมพ์ดาวออกไปปล่อยปลากับตรีภพ จันทราก็สบโอกาสที่จะปรึกษาหลวงตาเรื่องผู้หญิงที่เห็นในสมาธิ แต่ไม่อยากให้พิมพ์เดือนรู้
จึงใช้ให้พิมพ์เดือนไปเอาน้ำมนต์ที่วิหาร
“พูดมาเถอะโยม”
“หลวงตาเจ้าคะ ดิฉันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งในสมาธิ เหมือนเป็นเจ้านางทางเหนือโบราณ ดิฉันสังหรณ์ว่า เขามีเรื่องเคียดแค้นยายพิมพ์ดาวอยู่” 
“จะอะไรเล่า ก็เรื่องผูกพยาบาทกันข้ามภพข้ามชาติ”
“นี่ยายพิมพ์ก็จะต้องไปถ่ายละครทางเหนือ ดิฉันคิดว่า เขารอยายพิมพ์อยู่ที่นั่น”
“โยมไม่อยากให้ลูกไปล่ะซี”
“ดิฉันสองจิตสองใจเจ้าค่ะ ใจหนึ่งก็อยากห้ามลูกไม่ให้ไป แต่แกจะเสียงาน แต่อีกใจก็คิดว่าอะไร
จะเกิดมันก็เกิด.. เมื่อเวลาของมันมาถึง”
หลวงตายิ้มน้อยๆ พยักหน้า “ใช่โยม ในโลกนี้ไม่มีอะไรขวางกฎแห่งกรรมได้”

__________________________________________________________________



ที่บริเวณลานวัด มีนกพิราบฝูงหนึ่งกำลังจิกกินอาหารที่มีคนโปรยอยู่เต็มลาน ตรีภพเห็นแล้วอยากให้อาหารนกบ้าง พิมพ์เดือนถือ
ขวดพลาสติกใส่น้ำมนต์มา 2-3 ขวดมาจากวิหาร มองไปเห็นตรีภพซื้ออาหารนกเดินกลับไปหาพิมพ์ดาว ตรีภพส่งอาหารนก
ให้พิมพ์ดาวถุงหนึ่ง ถือไว้เองถุงหนึ่ง
“อ้อ ฉันลืมไปเลย”
“อะไร”
“ที่คุณไปส่งคุณลินซี่เมื่อวานนี่ซี เป็นไงบ้าง”
ตรีภพเกือบสะดุ้ง หน้าเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง
“แล้วคุณจะถามทำไม”
“อ้าว ก็ฉันเห็นเขาไม่สบายอยู่ คุณไปส่งเขาถึงที่หรือเปล่า”
“ถึงที่เหรอ แค่เกือบๆไป”
“แปลว่าอะไร” 
ตรีภพยักไหล่ไม่ตอบ 
“แล้วเขาหายป่วยหรือยัง”
“เขาก็มีหน้ามืดบ้างเล็กน้อย”
“หน้ามืดเป็นลม หรือหน้ามืดปล้ำกัน”
พิมพ์ดาวพูดเล่น แต่ตรีภพสะดุ้งสุดตัว “เฮ้ย คุณพูดอะไรอย่างนั้น”
“แล้วทำไมคุณต้องสะดุ้งขนาดนั้น”
“ก็มันไม่น่าพูดนี่”
“ฉันมันนางร้าย ไม่ใช่นางเอก ฉันจะพูดอย่างนี้แหละ”
“อ้อ ผมรู้แล้ว ที่คุณมาซักไซ้ไล่เลียงนี่ คุณเริ่มหึงใช่ไหม”
“หึงอะไร อย่ามาบ้านะ”
“อย่าห่วงไปเลยคุณ ผมบอกลินซี่แล้วว่าเราเข้าใจกันดี เขาไม่มีทางเข้ามาแทรกกลางได้หรอก”
“คุณจะบ้าเหรอ คุณไปบอกอย่างนั้นทำไม”
พิมพ์ดาวเอาเรื่อง ตรีภพไม่แยแส เดินหนีไปโปรยอาหารนก พิมพ์ดาวหน้าคว่ำไปโปรยบ้าง บรรดานกพิราบกรูเกรียวมา
พิมพ์เดือนทำท่าเคลิ้ม “น่ารักสุดๆคู่นี้”


ทันใดจู่ๆ นกพิราบกลุ่มนั้นก็ฮือเข้าหาพิมพ์ดาว จิกหัวจิกไหล่ พิมพ์ดาวปัดป้องร้องกรี๊ด ตรีภพเอาตัวบังพิมพ์ดาวไว้ พิมพ์เดือนวิ่ง
ตาเหลือกเข้ามาช่วยไล่นก นกบินกรูหนีไป พิมพ์ดาวผมยุ่ง มีรอยเล็บนกนิดหน่อย
“อีกแล้วหรือคะ” พิมพ์เดือนกลุ้มใจแทน
“ฉันไม่เคยทำเวรทำกรรมอะไรกับมันซักหน่อย นกบ้า”
“อ้าว คุณเคยมีเรื่องกับนกมาก่อนหรือ”
“ก็ใช่น่ะซี แต่ไม่ถึงกับทุกครั้งหรอก”
“เออ พิลึกดี ตอนเด็กๆคงชอบรังแกสัตว์น่ะซี”
พิมพ์ดาวตาเขียว ร้อง ‘ไม่เคยย่ะ’



เมื่อพิมพ์ดาว พิมพ์เดือน ตรีภพ กลับมาที่กุฎิหลวงตา จันทราก็ชักชวนให้กลับ หลวงตากวาดตามองทุกคน คล้ายล่วงรู้ว่ามี
ชะตากรรมรออยู่
        “ทุกคนฟังไว้นะ ทางพุทธเรามีเรื่องกรรม ที่ก่อให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิด เกิด ชาติก่อน ชาตินี้ ชาติหน้า
        “คนเราทุกคนเคยก่อกรรมมาทั้งนั้น ไม่ว่าบุญหรือบาปล้วนส่งผลเสมอ ฉะนั้นเมื่อเกิดอะไรขึ้น ก็ขอให้ตั้งรับมันอย่างมีสติ”


ทุกคนต่างรับคำ ยกเว้นพิมพ์ดาว หลวงตายิ้ม “หนูพิมพ์ดาว เข้ามาซิ”
พิมพ์ดาวหน้าเหวอ เพราะห่างพระห่างเจ้า พิมพ์เดือนต้องเอามือดันก้น พิมพ์ดาวกระโดกกระเดกเข้าไป หลวงตามองอย่างปราณี 
“แบมือ”

พิมพ์ดาวยังงง แบมือ หลวงตาทิ้งของอย่างหนึ่งลงในฝ่ามือ มันเป็นเขี้ยวสัตว์ที่ลงอักขระอาคม มีทองเก่าถักเป็นร่างแหรัดไว้
มีห่วงของสร้อยคอครบถ้วน จันทรา พิมพ์เดือน ตรีภพ ชะเง้อมองอย่างสนใจ
“อะไรคะเนี่ย เหมือนเขี้ยวสัตว์”
        “ของขลังจากต้นตระกูลอาตมาเอง เรียกว่าเขี้ยวเสือไฟ เชื่อว่าป้องกันอันตรายได้ชะงัดนัก ไปต่างที่ต่างถิ่นก็ขอให้พกติดตัวไว้”
พิมพ์ดาวมองดู รู้สึกวูบวาบบางอย่าง “ขอบคุณค่ะ”
จันทราซาบซึ้งจนน้ำตาไหล รู้ว่าหลวงตาช่วย
“แต่ขอให้รู้ไว้ สิ่งคุ้มตัวเราที่ศักดิ์สิทธิ์กว่าของขลังใดๆ ก็คือทาน ศีล และภาวนา” หลวงตาสอน
“ทาน ศีล ยังพอไหวค่ะ แต่ภาวนา”
“ใครจะรู้ หนูอาจสร้างบารมี เคยภาวนามาหลายชาติหลายภพแล้ว”
พิมพ์ดาวยิ้มไม่เชื่อ
“ยังไม่ต้องเชื่อ แต่ก็อย่าเพิ่งรีบร้อนปฏิเสธ”
“ค่ะ”
“ศาสนาพุทธคือศาสนาแห่งการพ้นทุกข์ ทุกปัญหาล้วนมีทางแก้ ใช้ทาน ศีล ภาวนาคุ้มตัว ใช้สติคุ้มใจ”
“แล้วเวลาเจอคนที่เขาคิดแค้นเราล่ะคะ” จันทราถาม
“อะไรก็ไม่ดีเท่าเมตตา อโหสิกรรมเป็นนิตย์ อธิษฐานจิตเป็นประจำ”
อะไรบางอย่างทำให้บรรยากาศในกุฏิเล็กๆนั้นดูศักดิ์สิทธิ์เข้มขลัง พิมพ์ดาวก้มลงกราบหลวงตาอย่างงดงาม คนอื่นๆก็กราบลง

__________________________________________________________________



ฐาปกรณ์เรียกประชุมครั้งสุดท้ายก่อนเดินทางไปคุ้มเวียงแก้วเพื่อเตรียมงานก่อน ถึงได้รู้ว่าสุชาดาเล่นประหยัดงบหมดทุกอย่าง หนึ่งคน
ทำหน้าที่หลายอย่าง อย่างลูกกบที่ทำการเงิน ก็ต้องเป็นทั้งโปรดิวเซอร์ และประสานงานทั้งที่ไม่เคยทำ แม่ครัวกับสวัสดิการก็ไม่มี สุชาดา
ตีขลุมให้แม่ครัวกับคนใช้ที่คุ้มทำ ตัวฐาปกรณ์เองก็ต้องนั่งหลังหลังแข็งไปกับรถตู้ เพราะสุชาดางกไม่ยอมจ่ายค่าตั๋วเครื่องบิน กว่าจะถึงคุ้ม
ก็เล่นเอาปวดหลังไปหมด

ลุงทองและสายใจออกมาต้อนรับทีมละคร สายใจตื่นเต้นทีได้เจอพระเอกเก่าอย่างฐาปกรณ์ ทีมงานเห็นความสวยงามของคุ้มก็รู้สึก
ตื่นตาตื่นใจ
“ไอ้ เอ๊ย คุณแก้วล่ะครับ” ฐาปกรณ์ถาม
“คุณแก้วทราบแล้วว่าพวกคุณมา เดี๋ยวก็คงออกมาครับ”
“เดี๋ยวก็คงตื่นค่ะ” สายใจหลุดปาก ตาทองมองปรามๆ ฐาปกรณ์ ลูกกบ รัก งงๆ มองหน้ากัน
มีเสียงนาฬิกาตี บอกเวลา 6 โมงเย็น แสงภายนอกมืดลงวูบ สายใจและ 2 สาวใช้รีบเปิดไฟที่จุดต่างๆเพิ่มขึ้น ตาทองเชิญทุกคนให้นั่ง
ที่ชุดรับแขก


แก้วเดินมาที่ประตูแล้วหยุดยืน เบิ้มมองไปแล้วตาเหลือกเห็นเงาร่างอสูรกายของยอดหล้าทาบทับซ้อนอยู่ ทุกคนหันมามองตามเบิ้ม
ภาพอสูรกายจางหายไป เหลือแก้วที่ดูหล่อเหลาขึ้น แต่ผิวขาวซีด และมีความเย็นชา แข็งกระด้าง แก้วก้าวเข้ามา ฐาปกรณ์กับพวกลุกขึ้น
“คุ้มเวียงแก้ว ยินดีต้อนรับทุกคน”
ฐาปกรณ์เข้าจับไม้จับมือแก้ว ดวงตาชื่นชม แกมละอายที่เคยด่าไว้มาก
“ขอบใจ ขอบคุณ เอ้อ อ้า ขอบพระคุณเอ็ง เอ๊ย ขอบพระคุณเจ้าจริงๆ”
“เรียกผมเหมือนเดิมเถอะครับ ยังไงผมก็คือไอ้แก้วคนเดิม”
แก้วพูดเหมือนถ่อมตัว แต่ก็มีแววจิกกัดด้วย บรรดาคนอื่นมารุมล้อม ยกเว้นเบิ้มที่จดๆจ้องๆ ลูกกบกระซิบกับรัก 
“ถ้าให้เรียกเหมือนเดิม ก็ต้องเรียกไอ้ห่าแก้วสิ”
รักหัวเราะก๊าก แก้วหันมามอง
“ผมรัก ผู้ช่วยครับ จำผมได้ใช่ไหมครับ”
“จำได้ซีครับ ผมจำได้ว่าทุกคนเคยทำ.. ทำดีกับผมยังไงบ้าง”
แก้วยิ้มเย็นๆ ฐาปกรณ์ยังเชลียร์อยู่
“นายดูดีขึ้นเยอะเลย บุญพาวาสนาส่ง สง่าราศีมันจับ”
ลูกกบ รัก เก้ง มองดู มีมี่ มูมู่ กระซิบกัน
“ว้าย ทั้งซีด ทั้งซูบ ยังกะถูกเสน่ห์อีเป๋อ” มีมี่กระซิบ
  “หรือไม่ก็ถูกดูด.. “ เก้งมองหน้ามูมู่ “ดูดเลือดค่ะ พี่เก้ง”
เบิ้มยังคงมองแก้วอย่างไม่วางใจ แก้วมองเบิ้ม เบิ้มยิ้มแห้งๆ


แก้วพาฐาปกรณ์และลูกทีมเดินทัวร์เรือนต่างๆ 
“แค่ยกเอาของสมัยใหม่ออก ก็ใช้เป็นฉากได้ทุกห้อง ทุกเรือนเลย” ฐาปกรณ์ชื่นชม
“ครับ”
แก้วพามาหน้าเรือนใหญ่หนึ่ง มีประตูไม้แกะสลักบานใหญ่มหึมา 2 บาน
“เชิญครับ” แก้วผายมือ



ฐาปกรณ์ รัก เบิ้ม เก้ง มีมี่ มูมู่ ก้าวเข้าไป แก้วไขสวิชท์ไฟดิมเมอร์ให้ส่องสว่างขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นท้องพระโรงใหญ่ มีแนวเสาเรียงราย
ประดับด้วยไม้แกะปิดทอง ที่สุดทางเป็นยกพื้น ที่เหนือยกพื้น ตั้งแท่นคำอลังการ เป็นไม้แกะลวดลายละเอียดยิบ ปิดทองและฝังอัญมณี
ฐาปกรณ์และลูกทีมตกตะลึงพรึงเพริด
“สวยจริงๆ  สวยยิ่งกว่าในรูปที่นายเมล์มาอีก”
ฐาปกรณ์ และเก้งเข้าไปลูบๆคลำๆเสา แท่นคำ 
“นี่คือท้องพระโรงหลวงแห่งคุ้มเวียงแก้ว ที่ที่เจ้าหลวงประกอบราชประเพณี และต้อนรับแขกเมือง”
“นี่ของเก่าหรือ แก้ว” 
“ของทุกชิ้นเป็นของเก่าที่บูรณะขึ้น ยกเว้นโคมระย้าข้างบนกับระบบไฟ.. แต่ผมเตรียมอัจกลับแก้วโบราณไว้เปลี่ยนให้แล้ว”
ฐาปกรณ์มองแก้ว พูดอย่างตื่นเต้น
“นี่นายทุ่มเทเพื่อละครเรื่องนี้ ขนาดนี้เชียวหรือ”
“ไม่เท่าไหร่หรอกครับ”
“ไม่เท่าไหร่ก็คือไม่กี่สิบล้านใช่ไหม”
“จะเป็นไรไปครับ.. เพราะละครเรื่องนี้คือละครเรื่องสุดท้ายของผม”
แก้วมีแววสะทกสะท้อนใจ คนอื่นๆไม่เข้าใจความนัย


หลังจากแก้วเลี้ยงอาหารมื้อใหญ่ บรรดาทีมละครก็เข้าไปพักผ่อนเตรียมตัวนอนที่เรือนรับรอง โดยแบ่งฝั่งนอนซีกขวาผู้ชาย ซีกซ้ายผู้หญิง
เบิ้มมองรอบตัวอย่างหวาดหวั่นอยู่คนเดียว มีมี่ มูมู่ สองนางแต่งซิ่น มีสไบ ผมปักดอกไม้คำร้อยดอก แต่งหน้าเนียน ทาตาสิบสี เตรียมตัว
ไปงานวัดตามที่นัดกับเฟื่องฟ้าและระริน ตาทองโผล่มาเอาสายสิญจน์มาให้ เบิ้มยิ่งกลัวหนัก ตาทองรีบแก้
“เป็นการรับขวัญพวกคุณ ใส่ไว้นะครับแล้วจะโชคดี”
“เป็นธรรมเนียมคุ้มหรือครับ เห็นใส่กันทุกคนเลย” เก้งถาม
“ครับ ใส่ไว้นะครับ ทุกคน”
ตาทองส่งให้ลูกกบ ลูกกบแจกต่อไปเรื่อยๆ ทุกคนรับมาคล้องคอ
        “ลุง.. ที่นี่มีอะไรแบบนั้นหรือเปล่าครับ” เบิ้มวิตก
“อย่ากลัวไปเลยครับ เดี๋ยวพวกคุณก็จุดธูปไหว้อารักษ์ เจ้าที่เจ้าทางซะ ก็ไม่มีอะไรแล้ว ผมไปล่ะ”
ตาทองตัดบทรีบออกไป
“เขาว่าคนที่มีเซ้นส์เจอผีน่ะมี 3 พวก คือพวกนักเขียน พวกติสท์ แล้วก็…”ลูกกบแกล้งหยุด
“อะไรคะ” มีมี่อดรนทนไม่ได้
“แล้วก็พวกตุ๊ด กะเทยไงยะ”
“ไม่จริงค่ะ หนูไม่มีเซ้นส์ เพราะหนูเป็นผู้หญิงคร่อมเพศ”
“หนูมีแต่เกย์ดาร์.. ผีเห็นผี” มูมู่มองดูเบิ้ม เบิ้มเมิน เก้งถลึงตาใส่ มีมี่ มูมู่ ดึงสายสิญจน์ออกจากคอ ส่งให้ลูกกบ
“ฝากไว้ก่อนนะเจ๊กบ ใส่แล้วไม่รับหน้าค่ะ”
“ไปดีกว่า เดี๋ยวตลาดวาย ผู้ชายหมด” มูมู่เร่ง
 

เวลาราวตีสอง มีมี่ มูมู่ กลับจากงานวัด เดินกระย่องกระแย่งเพราะส้นสูงกัด แถมหงุดหงิดเพราะไม่เจอหนุ่มละอ่อน มีแต่พวกขี้เหล้า ทั้งคู่โดน
ผีนางผัน นางเผื่อนนำซากศพโจรทั้งสี่มาหลอกหลอน วิ่งหนีกระเจิดกระเจิงจนผ้าซิ่นหลุด นางผัน นางเผื่อน เห็นสิ่งที่อยู่ในร่มผ้าของมีมี่ มูมู่
แล้วตกใจ หนีหายไป



นางผัน นางเผื่อนนำซากศพโจรทั้งสี่กลับมายังโพรงอิฐในห้องใต้ดินคุ้มร้าง ยอดหล้ามองดูซากทั้ง 4 
“ซากพวกนี้ใช้การไม่ได้”
“มนต์ปลุกชีพไม่ได้ผลหรือเจ้า” ผันสงสัย
“อย่ามาสู่รู้ มนต์ปลุกชีพของข้าได้ผล มันจึงเคลื่อนไหว เดินเหินตามที่ข้าสั่งได้ แต่ซากของมันผุพังมากแล้ว ข้าไม่อยากเห็นของที่ไม่สวยไม่งาม”
“งั้นก็หาซากใหม่ๆมาลองอาคมสิเจ้า” เผื่อนแนะ
“ข้าก็คิดไว้เช่นนั้น”
“ถ้ามีคนหายไปอีก คนก็จะยิ่งสงสัยนะครับ” แก้วท้วง
ยอดหล้ามองดูแก้วอย่างรำคาญ “แล้วทำไม”
“พวกแก๊งค์ค้ายานั่นมันยังจะมากันอีก ถ้ามีคนหายคนตายอีก คนก็จะยิ่งสงสัย ยิ่งเข้ามาขุดคุ้ยความจริง”
“เจ้าก็รู้ว่าถ้ามันเข้ามา มันก็จะไม่มีทางรอดออกไป”
แก้วขมขื่น มองยอดหล้าอย่างผิดหวัง “แต่เจ้านาง”
“หยุดพิรี้พิไรเถิด นี่ไม่ใช่กงการอะไรของเจ้า ว่าแต่งานของเจ้าเถิด”
“ครับ”
“เมื่อไหร่พี่เทพจักมายังเวียงแก้วเสียที”
“อีกสองวันเท่านั้นเจ้านาง”
ยอดหล้ายิ้มพริ้มพราย มองเลยไปอย่างเปี่ยมหวัง ก้าวกรายผ้าคลุมไหล่ลากระพื้น
“อีกสองวัน คุ้มเวียงแก้วจักได้ต้อนรับท่านเป็นครั้งที่สอง ประวัติศาสตร์จะเกิดขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้ การณ์ต้องไม่เหมือนเดิม คราวนี้
ข้าจะสมหวัง ข้าจะสมรัก ข้าจะต้องชนะ”


แก้วมองยอดหล้า ด้วยความจงรัก แกมเสียดาย 
ยอดหล้าตาวาว “แต่นังดารารายต้องพินาศ ต้องเจ็บปวด ทรมานยิ่งกว่าที่ข้าเคยได้รับ”
ใบหน้ายอดหล้ากลับกราดเกรี้ยว กลายเป็นอสูรกาย






 

บทละคร คุ้มนางครวญ ตอนที่ 8บทละคร คุ้มนางครวญ ตอนที่ 6บทละคร คุ้มนางครวญ ตอนที่ 5
 
 
 
ชมทีวีออนไลน์ช่อง 5 แบบสดๆ ได้ที่นี่
ติดตามข่าวสารบันเทิงทีวีได้อีกช่องทาง
     Facebook.com/TVSociety