รีเซต

บทละคร คุ้มนางครวญ ตอนที่ 5

บทละคร คุ้มนางครวญ ตอนที่ 5
21 มกราคม 2557 ( 10:46 )
6.5K

คุ้มนางครวญ ตอนที่ 5

บทประพันธ์ดัดแปลงจากบทประพันธ์ เรื่อง คุ้มนางครวญ ของ สรรัตน์ จิรบวรสุทธิ์

บทโทรทัศน์วิสุทธิชัย บุณยะกาญจน 


ตฤษมาหาตรีภพที่คอนโดแต่เช้า ตรีภพแต่งชุดนอน เดินตาปรือมาเปิดประตูห้องให้ตฤณ ก่อนจะเดินตาปรือไปยัง

เดย์เบดทิ้งตัวลงนอนคว่ำกางแขนกางขา ตฤณเดินไปเอาถุงวางบนโต๊ะกินข้าว เอาเบียร์เข้าตู้เย็น แล้วเดินมาดู

สภาพตรีภพ

            “เจออะไรเข้าไปวะ”

            “ปิดกล้อง เจอเข้าไปสี่วันสี่คืนต่อกัน สัตว์ เด็ก เอฟเฟกท์ สลิง ครบ ได้นอนรวมๆกันไม่ถึง 10 ชั่วโมง

นี่นอนชดเชยมาวันนึงแล้วยังไม่หายโทรมเลย”

            “เออ ลุกขึ้นมากินอะไรก่อนไป”

            “ไม่อยากกินว่ะ”

            “ปิดไปเรื่องนึง แล้วเรื่องใหม่เปิดกล้องเมื่อไหร่”

“อาทิตย์หน้า เห็นว่าจะไปปักหลักที่เชียงใหม่เดือนนึงเลย นี่เห็นทำท่าว่าจะไปถ่ายฉากหลักที่บ้าน

ไอ้แก้วกัน”

            “เออดีโว้ย ปลายเดือนนี้ข้าลาพักร้อนจะได้ไปถล่มไอ้แก้วด้วย”

            “พอจะไปก็โทรไปบอกก่อนแล้วกัน”

ตฤณมีอาการอยู่ไม่สุข รื้อแมกกาซีนดู เห็นหนังสือบันเทิงหน้าปกรูปพิมพ์ดาว

            “นี่มีข่าวว่าเอ็งใช้เส้น เอาแฟนเอ็งมาเล่นด้วยกันหรือ”

            “ไม่ได้ใช้เส้น แล้วก็ไม่ได้เป็นแฟนด้วย”

            “ถ้ายายเมย์ไม่ท้องขึ้นมา พิมพ์ดาวก็ไม่ได้เล่นหรอก”

            “เฮ้ย แล้วน้องลินซี่นางเอกใหม่น่ะ เอ็กซ์จริงหรือเปล่าวะ โอโฮ้ แล้วตอนที่ผ้าหลุดเอ็งเห็นอะไรดีๆบ้างหรือ

เปล่า”

            “ไอ้ตฤณ นี่เอ็งเป็นหมอโรคจิตหรือว่าเป็นคนไข้กันแน่วะ”

            “เอ็งก็รู้ว่าข้าเป็นโรคแพ้นม”

ตฤณยกแก้วนมขึ้นดื่ม ตรีภพนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว บทคุ้มนางครวญปึกใหญ่วางอยู่ ตรีภพมองดูแล้วขรึมลง

            “ไอ้ตฤณ เอ็งเคยมีอาการเดจาวูไหม”

            “ไม่ค่อยว่ะ ทำไม เอ็งเดจาวูเรื่องอะไร”

“มันก็ไม่เชิงเดจาวูหรอก แต่ข้าเคยฝันเห็นผู้หญิงแต่งตัวเป็นเจ้านางทางเหนือ เรียกข้าว่าพี่เทพ เหมือนชื่อในบทละคร แล้ว

คำที่ผู้หญิงคนนั้นคร่ำครวญถึงข้า ก็เป็นคำพูดแบบเดียวกับที่อยู่ในบทละครเลย”

ตรีภพมองเลยไป ตฤณแปลกใจไปด้วย

 

ที่ห้องนอนพิมพ์ดาว พิมพ์ดาวนั่งขัดสมาธิบนเตียง มีบทละครทั้งเรื่องวางอยู่ พิมพ์เดือนนั่งอยู่ด้วย

            “ต้องไปอยู่เชียงใหม่เป็นเดือนเลยหรือคะ”

            “สามอาทิตย์มั้ง”

            “ดีค่ะ ปลายเดือนนี้หนูปิดเทอมพอดี หนูจะได้ไปเป็นผู้ติดตาม”

“จะได้ไปหรือเปล่าก็ไม่รู้ ยายมาดามสุน่ะเขี้ยวจะตาย ดีไม่ดีเขามาหักค่ากินอยู่เธอจากค่าตัวฉันละตายเลย”

            พิมพ์เดือนหัวเราะกิ๊ก “แหม… ให้หนูไปช่วยเสิร์ฟน้ำก็ได้”

            “เธออย่าไปแย่งหน้าที่สวัสดิการเขาเลย” พิมพ์ดาวรวบบทละครขึ้นมา พลางถอนหายใจเบาๆ

“มีอะไรคะ พี่พิมพ์หนักใจเรื่องบทหรือ”

            “เปล่า”

            “แล้วมาทอดถอนใจใหญ่ทำไมคะ”

            “นี่ ฟังพี่เล่าแล้วอย่าเอาไปพูดให้แม่รู้นะ” พิมพ์ดาวนึกเรียบเรียงคำพูด

            “ค่ะ ค่ะ ไม่บอกค่ะ”

“พี่เคยฝันเห็นเรื่องราวแบบเดียวกับในบทละครนี่มาก่อน ในฝันนั่น พี่เป็นเจ้านางดาราราย มีนาย

ตรีภพเป็นหลวงเทพอยู่ด้วย”

พิมพ์เดือนขมวดคิ้ว “เดจาวูหรือคะ”

            “แต่ว่าเจ้ายอดหล้าในฝันนั่นไม่ใช่คุณลินซี่ แต่เป็นเจ้านางที่สวยมาก แล้วก็น่ากลัวมากด้วย”

            “น่ากลัวยังไงคะ”

            “นอกจากฝันครั้งนั้น พี่ยังฝันซ้ำๆซากๆ เห็นผู้หญิงคนนั้นอาฆาตมาดร้ายพี่ บอกจะจองล้างจองผลาญพี่ให้

ถึงที่สุด”

            “อี้ย วิญญาณอาฆาตหรือคะ อื๋อ น่ากลัวกว่าชัตเตอร์อีก” พิมพ์เดือนยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

พิมพ์ดาวค้อน “นี่ รู้งี้ฉันไม่เล่าให้เธอฟังหรอก”

            “คงไม่มีอะไรหรอกค่ะ พี่พิมพ์ พี่พิมพ์อาจจะเครียดเรื่องงานน่ะ เลยเก็บเอาไปฝัน”

            “ขอให้จริงเถอะ อย่าให้เป็นเรื่องผีๆสางๆเลย”

            “อ้าว ไหนว่าพี่พิมพ์ไม่เชื่อเรื่องผีไงคะ”

            “พี่ไม่ใช่ไม่เชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ พี่แค่ไม่เชื่อพวกผีแม่ม่าย หรืออะไรๆก็วิญญาณเด็กคอยตามขี่คอต่างหาก”

                                    ______________________________________________________

 

รถพิมพ์ดาวแล่นมาวนหาที่จอดในลาน วันนี้เป็นวันฟิตติ้ง และมีการทำข่าว จึงมีรถของสำนักข่าวต่างๆ รถของนักแสดง

ทีมงานแน่นลานจอดรถ รถพิมพ์ดาวเจอที่จอดห่างออฟฟิศสุดหล้าฟ้าเขียว แถมอยู่ข้างกองขยะมหึมา

พิมพ์ดาวลงจากรถ มองดูตึกออฟฟิศ แล้วหน้างอ “นี่ฉันทำกรรมอะไรไว้นะ”

 

ที่ห้องฟิตติ้ง ตรีภพ มาสาริน แต่งตัวใกล้เสร็จ นอกนั้นก็เป็นพวกกลุ่มพ่อแม่ ได้แก่ เจ้าแสงอินทร เจ้านางหอมุก เจ้านาง

สร้อยคำ พระยาพิชิตชัย คุณหญิงอำพา เถรกระอำ ครูบาสรี ฯลฯ พิมพ์ดาวกับแพทที่โลกแคบได้บทคุณเพิ่งโผล่เข้าห้อง

มาพร้อมกัน

            “สวัสดีค่ะ น้องพิมพ์ น้องแพท ไป เข้าไปฟิตติ้งเลย” สุชาดาเร่ง

“ใช่ อย่าโอ้เอ้ แปลกนะ พระเอก นางเอกเขามากันตั้งแต่เช้ามืด แต่พวกนังตัวประกอบมากันสายตะวันโด่ง” บีบีจิกกัด

แพทหน้าเสีย พิมพ์ดาวชะงักกึก ลูกกบสะดุ้ง

            “คุณลูกกบคะ”

            “ขา น้องพิมพ์”

            “คุณลูกกบนัดพิมพ์กับแพทตอนเก้าโมงใช่ไหมคะ”

            “ค่ะ”

            “ตอนนี้เก้าโมงหนึ่งนาที เราสองคนคงไม่ได้โอ้เอ้ มาสายตะวันโด่งใช่ไหมคะ”

บีบีหน้าแตกไม่รู้จะทำอะไรเลยเชิดใส่

            “ค่ะ เราต้องนัดนักแสดงให้เหลื่อมเวลากันจะได้ไม่ต้องมานั่งรอกันเหนียงยานค่ะ” ลูกกบว่า

บีบีสะดุ้งเอามือคลำคอ พิมพ์ดาวยิ้ม แพทชื่นชมพิมพ์ดาว ลูกกบพาทั้งสองคนไปลองเสื้อ

 

            “สมน้ำหน้า อยู่ดีไม่ว่าดี ให้เด็กมันถอนหงอกเอา” สุชาดากระทบกระเทียบ

บีบีหันขวับมามองมาดามสุอย่างเอาเรื่อง “นี่… ว่าใคร”

            “ด่าไอ้รัก ผู้ช่วยค่ะ ชอบไปแส่ข้ามหน้าข้ามตาคุณฐา”

รักคอหด ฐาปกรณ์รู้ว่าเมียหลอกด่าบีบี

“ใช่ ทั้งที่ไม่ใช่หน้าที่ตัวเองซักหน่อย จำไว้นะมึง ไอ้รัก”

ฐาปกรณ์ตวาด แอบขยิบตา รักกลั้นยิ้มยกมือไหว้ท่วมหัว

            “ครับ คราวหน้าคราวหลังจะไม่แส่แล้วครับ”

ฐาปกรณ์ มาดามสุหันมายิ้มกับบีบี บีบีจับไม่ได้ไล่ไม่ทันยิ้มแห้งๆตอบ

 

พิมพ์ดาวและแพทกำลังแต่งหน้าแต่งผมอยู่หน้ากระจกเงา พิมพ์ดาวแอบมองเงาสะท้อนตรีภพซึ่งยืนโพส ท่าอยู่กับ

มาสาริน รักถ่ายรูปไว้จากมุมต่างๆ บีบีมาแส่สั่งการอีก

            “เอ้าลินซี่ ซบอกน้องตรีซีคะ ลูกขา”

 

ฐาปกรณ์กับมาดามสุยืนอยู่ข้างหลัง

            “อีเจ๊นี่ มันจะมาแส่อย่างนี้ทุกวันหรือคุณ”

            “อีนี่คอนเนกชั่นมันเยอะ ยอมๆมันไปก่อนเถอะคุณ”

 

มาสารินทำอิดออดหน้าแดงแล้วกอดซบหน้าในแขนตรีภพ

            “ตาย ต้องกอดกันอีกแล้ว”

            “มันเป็นงานครับ”

 

พิมพ์ดาวมองเงาสะท้อนในกระจกเขม็ง จนตรีภพรู้สึกตัว หันไปเห็นพิมพ์ดาวมองเขม็งอยู่ พิมพ์ดาวมองในเชิงว่า

‘กะอยู่แล้ว พวกเสือผู้หญิง’ ตรีภพสบตาในเชิงว่า ‘ทำงานอยู่มาหวงอะไรตอนนี้’ พิมพ์ดาวเชิดหน้าขึ้น แล้วจึงเห็นว่า

มีมี่กับมูมู่แอบดูพฤติกรรมของตนเองอยู่

            “อย่าคิดมากเลยค่ะ คุณพิมพ์”

            “เปล่านะคะ”

 

ตรีภพแข็งขึงไปนิดหนึ่ง มาสารินรู้สึก มองหน้าตรีภพ แล้วมองตามสายตาตรีภพ พอดีกับพิมพ์ดาวมองมาอีกที ตรีภพ

ขยับถอยออก

“พอก่อนเถอะครับ”

            “แหม ขออีกมุมก่อนเถอะค่ะ นะคะ ลูกขา”

            “ไม่ได้ครับ ผมปวดฉี่” ตรีภพเดินผละออกไป

บีบีเข้ามากระพือพัดให้มาสาริน “เป็นไงบ้างคะ ลูกขา เหนื่อยไหมคะ”

            “ต่อให้ต้องกอดไปถึงตีสาม ก็ไม่เหนื่อยค่ะ”

 

มาสารินพูดหน้าตาเฉย บีบีอ้าปากค้าง

 



ตรีภพเดินออกมาจากห้องน้ำแล้วชะงักเมื่อเห็นพิมพ์ดาวในชุดเจ้านางดารารายยืนอยู่ ดูงดงาม แก่นแก้วซุกซนมากกว่าจะเป็นนางร้าย พิมพ์ดาวหันมาเห็นตรีภพ ก็ชะงักไปนิดหนึ่ง

“นี่คุณ”

“ครับผม”

“ทำไมถึงมีข่าวว่าคุณใช้เส้นยัดฉันเข้ามาเล่นละครเรื่องนี้”

“คุณก็ไปถามพี่นักข่าวดูซีครับ ทำไมถึงมาถามผมล่ะ”

“คุณจะบอกว่าคุณไม่รู้เรื่องด้วยใช่ไหม”

ตรีภพนิ่งคิดแล้วสั่นหน้า “เปล่า”

“แปลว่าอะไร”

“ก็แปลว่าผมมีส่วนด้วยนิดหน่อยน่ะซี”

พิมพ์ดาวก้าวมาใกล้ “นิดหน่อยยังไง”

“ก็ตอนที่คุณเมย์เกิดคันเป็นพิษต้องถอนตัวน่ะ พี่ฐากับมาดามไม่รู้จะหาใครมาแทน มาถามผมว่ามีไอเดียอะไรไหม ผมก็บอกว่ามีคุณอีกคนที่น่าจะเล่นบทนี้ได้”

“ฮึ ฝีมือคุณจริงๆ”

“แต่ยืนยันได้ ผมเสนอแค่นั้นจริงๆ ไม่ได้ล็อบบี้ ไม่ได้ไซโค ไม่มีเส้นมีสายอะไรทั้งนั้น”

“แต่ยังไงฉันก็ไม่ชอบให้มีข่าวซุบซิบอะไรแบบนี้”

“ทางออกก็มีอย่างเดียว”

“ยังไง”

“คุณก็ต้องเล่นบทนี้ให้สมบทบาท ให้เต็มที่ และก็ให้ดีที่สุด จนไม่มีใครกล้าว่าคุณอีก”

ตรีภพพูดอย่างจริงจัง 

พิมพ์ดาวอ่อนลง “ก็ได้ อ้อ  แล้วคุณก็ไปได้แล้ว เจ๊บีบีกับคุณลินซี่ตามหาคุณอยู่”

“โอเค ผมไปล่ะ”

ตรีภพเดินไป พิมพ์ดาวมองตามด้วยความรู้สึกดีขึ้นมานิดนึง




ในห้องฟิตติ้ง พิมพ์ดาวในชุดเจ้านางดารารายโพสท่าให้ถ่ายรูป ฐาปกรณ์เห็นแล้วพอใจ 

“เออดีๆ สวยแต่ร้าย”

“ฉันสมัยสาวๆก็อย่างนี้แหละ” สุชาดายอตัวเองจนฐาปกรณ์เซ็ง

มาสารินคอยสังเกตอาการตรีภพ ที่อมยิ้มมองพิมพ์ดาวถ่ายรูป พอพิมพ์ดาวพัก มาสารินก็เข้ามายิ้มหวาน จับ 2 มือพิมพ์ดาวอย่างสนิทสนม

“ลินซี่ ดีใจจังค่ะ ที่ได้ร่วมงานกับพี่พิมพ์”

“ค่ะ ยินดีเช่นกันค่ะ”

บีบีมองอย่างไม่พอใจ

“ลินซี่ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ พี่พิมพ์จะแนะนำอะไร ทำได้เต็มที่เลยนะคะ”

“คงไม่มีอะไรแนะนำหรอกค่ะ คุณลินซี่ก็ดูเจนโลกอยู่แล้ว”

มาสารินสะดุ้ง ทำตาโต “วอท” บีบีชะงัก “ว้าย”


“ฉันหมายความว่าดูโซฟิสติเคทนะคะ”

“โอ ไอซี เข้าใจแล้วค่ะ พี่พิมพ์”

“เอ้อ แล้วอีกอย่างนึง คุณลินซี่กับฉันอายุเท่ากัน อย่าเรียกฉันพี่เลยค่ะ”

มาสารินอึ้งไปนิดก็ยิ้มพริ้มพราย 




ฐาปกรณ์ขอให้สองสาวถ่ายรูปคู่พี่น้อง มาสารินชยับมายืนข้างพิมพ์ดาว มาสารินอยู่ซ้าย พิมพ์ดาวอยู่ขวา เอียงหน้าหากัน บีบีรีบขอเปลี่ยน

“หน้าลินซี่ด้านซ้ายสวยกว่าด้านขวาค่ะ เอ้า สลับข้างกันซิคะลูกขา”

พิมพ์ดาวกลั้นหัวเราะ “เชิญค่ะ” พิมพ์ดาวรุนมาสารินให้สลับข้าง ตรีภพมองอย่างชื่นชม พิมพ์ดาวสบตาแล้วเชิดใส่



______________________________________________________


 

เนื่องจากการบวงสรวงละครจะทำที่คุ้ม ฐาปกรณ์จึงจัดให้นักข่าวถ่ายรูปและสัมภาษณ์ทีมนักแสดง นักข่าวค่อนข้างสนใจคู่ตรีภพกับพิมพ์ดาวมากกว่า ตรีภพกับมาสาริน ทำให้มาสารินไม่พอใจ กว่าจะเสร็จงานเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้ากันก็มืดแล้ว ลานจอดรถเริ่มว่างวาย พิมพ์ดาวเดินกระปลกกระเปลี้ยไปยังรถที่จอดห่างไปเกือบกิโล มีรถสปอร์ตแล่นมาชะลอข้าง พิมพ์ดาวไม่สนใจเพราะรู้ว่ารถใคร ตรีภพเลื่อนกระจกลง

“รถคุณจอดอยู่ไหนนี่”

“ตรงที่จอดรถ น็อนวีไอพี ข้างกองขยะ”

“ขึ้นมาซี ผมจะไปส่ง”

“ไม่ต้อง ฉันมีขา เรี่ยวแรงฉันยังดี ว้าย”

ไม่ทันขาดคำ พิมพ์ดาวก็สะดุด หัวทิ่มเกือบคว่ำหน้า ตรีภพร้องเฮ้ย จอดรถรีบลงมา

“คุณ! เป็นอะไรบ้าง”

พิมพ์ดาวหน้าแตก รองเท้าข้างหนึ่ง แผ่นหนังหลุดจากพื้นทั้งแผง “ฉันไม่เป็นไรย่ะ”

“ไง ตอนนี้จะขึ้นรถผมได้หรือยัง”

“ฉันเดินเท้าเปล่าได้” พิมพ์ดาวขยับเดิน มือหิ้วรองเท้า เดินไปได้ 2 ก้าวก็ร้องสุดเสียง ตรีภพคว้าไว้

“โอ้โฮ ทุ่นระเบิดหมาเต็มเลย ถามครั้งสุดท้ายนะ จะขึ้นรถผมไหม”

“เชอะ… ขึ้นก็ได้”

พิมพ์ดาวเดินฉับๆมาจะขึ้นรถ ตรีภพเดินมาทำท่าคล้ายจะเปิดประตูให้แบบสุภาพบุรุษ

“ไม่ต้องมาทำสุภาพบุรุษเปิดประตูให้ฉันหรอก”

“ใครบอกล่ะ ผมมาขวางว่าอย่าเพิ่งขึ้น”

พิมพ์ดาวตาเขียว “นี่จะมาเล่นแง่อะไรกับฉันอีก”

“ไม่ได้เล่นแง่ แค่ขอเช็คก่อนว่าคุณไม่ได้เหยียบขี้หมามาขึ้นรถสปอร์ตผม”

ตรีภพมองอย่างซีเรียส พิมพ์ดาวยิ่งโมโห



ระหว่างขับรถไปส่งพิมพ์ดาว ตรีภพชวนพิมพ์ดาวคุย

“เสาร์นี้คุณจะไปไหม”

“ไปไหน ไปอะไร”

“ก็คุณน้ากับน้องเดือนชวนผมไปทำบุญไง”

พิมพ์ดาวยิ่งโมโห ที่ตรีภพยิ่งมาทำสนิทสนม “ฉันไม่ชอบไปทำบุญที่วัด”

“ยังไง ไปแล้วร้อน เข้าเขตวัดไม่ได้เหรอ”

“ฉันไม่ใช่ผี แต่ไปวัดทีไร ชาวบ้านชอบแห่มาดู กับพระมาขอถ่ายรูปคู่ ยิ่งคุณไป วัดไม่แตกเหรอ”

ตรีภพหัวเราะ “โธ่ วัดที่เรากำลังจะไปเป็นวัดปฏิบัติ ไม่มีอะไรแบบนี้หรอก ไปเถอะคุณ ทำบุญซะ 

ละครเรื่องนี้จะได้ราบรื่นไง เอ้า ถึงแล้ว”

พิมพ์ดาวมองหน้า รถมาถึงกองขยะพอดี

“ฉันไปล่ะ” พิมพ์ดาวเปิดประตู ลังเลนิดหนึ่ง แล้วหันมา “ขอบใจ”

พิมพ์ดาวลงไป ตรีภพกลั้นยิ้ม



ต่างคนต่างขับรถแยกย้าย พิมพ์ดาวมองดูรถตรีภพในกระจกส่องหลัง มีเมสเซจเข้าที่มือถือ 

พิมพ์ดาวหยิบมาเปิดดู เห็นตรีภพส่งข้อความเอสเอ็มเอสมาหา ‘พรุ่งนี้เจอกัน เมมเบอร์ผมไว้ด้วย’ พิมพ์ดาวโยนมือถือลงเบาะ “ใคร ใครเป็นคนให้เบอร์ฉันไป แม่หรือยายเดือน”



___________________________________________________________


 


ในคุ้มร้าง ยอดหล้าอยู่บนตั่ง เพ่งดูขันสาครตรงหน้า นางผัน นางเผื่อน คุกเข่ากับพื้นชะเง้อดู ภาพพิมพ์ดาวในขันน้ำแลดูพร่าเลือน น้ำไหวรุนแรงขึ้น ภาพพิมพ์ดาวหายวับไป ยอดหล้าโกรธเกรี้ยว เงยหน้าขึ้น

“ทำไม ทำไม ข้าถึงมองไม่เห็นนังดารารายซักที”

“มันยังมีบุญคุ้มตัวมันอยู่กระมังเจ้า” ผันบอก

“บุญอันใด มันคือคนบาป ก่อกรรมทำเข็ญกับข้าไว้หนักหนานัก แต่มันกลับได้เสวยสุข ได้ครองคู่อยู่กับพี่เทพ”

“นั่นแหละเจ้า ต่อไปเจ้านางน้อยก็จะหมดบุญ ถูกเจ้านางชำระโทษมันอย่างสาสม” เผื่อนปลอบ

“ใช่ นังดารารายมันโป้ปดมดเท็จ ใส่ร้ายให้ข้าเป็นคนบาปมานานนัก.. ต่อไปทุกผู้คนจะได้รู้เสียที ว่าความ

จริงเป็นเช่นไร”

 

วันรุ่งขึ้นมีการนัดตัวละครสำคัญมาซ้อมบทฉากสำคัญๆ ตลอดช่วงเช้าและบ่าย มีการจัดเก้าอี้ล้อมเป็นวง ตรีภพ มาสาริน พิมพ์ดาว แพท ซึ่งรับบท หลวงเทพ ยอดหล้า ดาราราย คุณเพ็ง นั่งอยู่ ส่วนฐาปกรณ์ มาดามสุ รัก และลูกกบ ก็จะอ่านบทของตัวละครประกอบอื่นๆให้ ยังไม่ทันจะเริ่ม บีบี ก็เดินฉับๆมา เครื่องเพชรแพรวพราวเช่นเคย มือลากเก้าอี้ครูดพื้นดังกึงกังเข้ามาแทรกระหว่างมาสารินกับพิมพ์ดาวหน้าตาเฉย ทุกคนอึ้งตะลึงงันไป

“เอ้า ลินซี่ กระเถิบหน่อยค่ะ ลูกขา แม่พิมพ์พิลาไลหลบหน่อยซียะ”

ฐาปกรณ์มองหน้ามาดามสุ ถามเบาๆ “ใคร ใครไปจุดธูปเรียกอีนี่มา”

“อยู่ว่างๆก็เลยมาช่วยอ่านบทค่ะ” บีบีตีเนียน

ฐาปกรณ์เอามือกุมหัว มีอาการคล้ายจะเป็นบ้า มาดามสุบีบแขนให้สงบไว้ บีบีทำไม่รู้ไม่ชี้ ฐาปกรณ์สงบสติอารมณ์ “เอ้า… เริ่มได้” 

ทุกคนเตรียมตัวอ่านบท จู่ๆไฟเพดานก็หรี่ลงนิดหนึ่ง ทุกคนแหงนมองดูไฟ

“แค่ไฟตก… เริ่มเถอะค่ะ” สุชาดาเร่ง

มาสารินเริ่มเตรียมตัวอ่าน

 


ที่คุ้มร้าง ยอดหล้าพึงพอใจ “ทุกผู้คนจะได้รู้กันเสียที ว่าความจริงเป็นเช่นไร”

มาสารินอ่านบทเป็นยอดหล้าที่แสนหวาน

“เจ้านกน้อยๆ มากินข้าวมา ผัน เผื่อน ช่วยข้าโปรยข้าว เร็ว”

“เจ้า เจ้านางเจ้า”

“เจ้าดูซี นกน้อยพวกนี้น่ารักเหลือเกิน” มาสารินแอ๊บสวยได้แนบเนียนพอควร ตรีภพกับพิมพ์ดาวมอง



___________________________________________________________


 

 

ย้อนกลับไปในอดีต ที่หลังคุ้มน้อย ซึ่งคือคุ้มร้างในยุคปัจจุบัน มีลานกว้างปูด้วยอิฐ รอบด้านตกแต่งด้วยไม้กระดาน พวกว่านใบต่างๆ ขณะนี้ลานอิฐเต็มไปด้วยนกมากมาย พวกนกเขา นกกระจอก ฯลฯ ยอดหล้าดูงดงามสดใส ผมเกล้าสูงปักดอกไม้ มีผ้าคาดอก และซิ่นกรอมเท้า ผ้าคล้องไหล่ดูวูบวับมีราคา ในมือถือขันใส่ข้าว กำลังโปรยปรายข้าวให้นกกิน นางผัน นางเผื่อนก็ถือขันข้าวคนละใบ กำลังโปรยปรายข้าวอยู่ ไม่ได้มีความสุขนัก เพราะนกบินมารุมเต็มตัว

“เจ้า ว้าย อีตัวนี้จิกหัวข้าเจ้า” นางผันร้อง เอามือปัดมวยผม นางเผื่อนหัวเราะเยาะ “สมน้ำหน้า”

นางผันค้อนขวับ นางเผื่อนหัวเราะอีก ทันใดก็มีของเหลวสีขาวตกแปะบนไหล่นางเผื่อน

“ว้าย ขี้”

“เจ้านางเจ้า อีนกน้อยมันขี้รดข้าเจ้าเจ้า” นางเผื่อนเต้นเร่าๆ ยอดหล้าทำหน้าครึ่งยิ้มครึ่งบึ้ง


“เจ้านี่นะ น่าชังจริง”



ทันใดนกก็แตกฮือขึ้น ทั้งฝูงบินหนี ยอดหล้าเอามือป้องผม นางผัน นางเผื่อนวี้ดว้าย ร่างระหงในชุดคล้ายกันก้าวมา ในมือถือหน้าไม้มาด้วย ตามหลังด้วยสาวใช้ 2 นาง หน้าตาหมดจด ยอดหล้านิ่วหน้า

“เจ้านี่เอง ดาราราย”


ในปัจจุบัน พิมพ์ดาวเตรียมอ่านบทตัวเอง 

“เจ้าทำให้นกของข้าตื่นหนีหมด” มาสารินว่า

“ท่านกล่าวหาข้าผิดแล้วเจ้าพี่ โน่นต่างหาก”



ภาพในอดีต ดารารายชี้มือขึ้นไปบนท้องฟ้า ยอดหล้าแหงนตามบนท้องฟ้า มีนกสีดำตัวใหญ่ บินวนอยู่

“นกกาหรือ ตัวใหญ่จริง”

“อีกายักษ์ตัวนี้ เพิ่งฉกเนื้อมาจากเรือนครัว ข้าจะสั่งสอนมันซักหน่อย”

ขาดคำ ดารารายก็ประทับหน้าไม้ หลิ่วตาเล็งไป

“ดาราราย อย่าเลย สงสารมัน” 

ลูกดอกพุ่งออกจากแหล่งดังขวับ ลูกดอกพุ่งขึ้นฟ้า เข้าปีกปีกอีกาใหญ่ มันร้องแก๊กยาว ปีกหักตกลงสู่พุ่มไม้

ดารารายยิ้มร่าดีใจ นางทิพย์ นางทิม หัวเราะคิก ผัน เผื่อน ค้อนขวับ

“โดนแล้วเจ้า เจ้านางน้อย” นางทิพย์ดีใจ

“เจ้าใจร้ายนัก ดาราราย” ยอดหล้าหันไปเอาผ้าคลุมไหล่ผืนงามจับอีกาใหญ่ขึ้น มันตีปีกด้วยความตกใจ

“นกน้อย นกน้อย ไม่เป็นไรแล้ว เจ้าไม่เป็นไรแล้ว” อีการับรู้ได้ มันสงบลง ดารารายหน้าบึ้ง

“เจ้าพี่ เจ้าพี่จะทำอันใด อีกานี่เป็นของข้า”

“ขอให้ข้าเถอะ ข้าจะเยียวยามันให้หาย”

“แค่อีกาตัวเดียว ก็ได้ ข้ายกให้ท่าน”

“ขอบใจเจ้า ครั้งนี้ข้าติดหนี้เจ้าครั้งหนึ่ง คราวหน้าเจ้าประสงค์สิ่งใดข้าก็จะยกให้เจ้า”

“จริงนะ”

“ข้าสัญญา”




เบื้องหน้าพระปฏิมา ในวิหารระยิบระยับด้วยแสงเทียน ควันธูปตลบอบอวล ยอดหล้าและดารารายในภูษาวูบวับ มีเครื่องประดับเต็มที ทางด้านหลัง นางผัน นางเผื่อน นางทิพย์ นางทิมนั่งอยู่


“เจ้าแม่ข้ากับเจ้าแม่เจ้า ทะเลาะกันอีกแล้ว”

“คราวนี้เรื่องอันใดอีกเล่า”

ยอดหล้าหน้าแดง “วันก่อนเจ้าพ่อให้ครูบาสรีทำนายโชคชะตาราศีเราสองคน ครูบาทำนายว่า ข้ากับเจ้า จัก จัก”

“จักอันใด”

“จักแย่งชิงผู้ชายคนเดียวกัน และจักกลายเป็นศัตรูกัน”

“ฮึ หมอดูคู่กับหมอเดา ข้าไม่เชื่อดอก”

“ข้าก็ไม่เชื่อ”

“ท่านไม่เชื่อ แต่ทำไมถึงได้หวาดกลัวนัก เอาเถอะ ข้าขอให้คำมั่นต่อหน้าพระปฏิมา ว่าข้าไม่มีวันแย่งชิงชายคนนั้นของเจ้าพี่เป็นอันขาด หากแม้นวันใดข้าคิดคด ตระบัดสัจวาจานี้ ขอให้ข้าจงตายด้วยทัณฑ์ทรมาน ตาย แล้วก็จงอย่าได้ผุดได้เกิด ให้..”

ยอดหล้าหน้าเสีย ยุดมือดารารายไว้ให้หยุด “พอเถิดพอ ข้าเชื่อเจ้าแล้ว”


 


ปัจจุบันตรีภพกำลังอ่านบทหลวงเทพ “นั่นเสียงเครื่องดนตรีอะไร ไพเราะจริง”

“อ๋อ นี่เสียงเครื่องดีด ชาวเหนือเรียกว่าซึงขอรับ คุณหลวง” รักอ่านบทแทนข้ารับใช้



___________________________________________________________




ภาพในอดีต บริเวณชายป่า บนคาคบไม้มีกล้วยไม้บานอยู่เป็นระยะ ไกลไปเป็นน้ำตกไม่สูงนัก ลดหลั่นลงมาเป็นลำธาร น้ำในลำธารไหลเซาะโขดหินดังเสนาะ เข้ากับเสียงซึงที่บรรเลงพลิ้วไพเราะ หลวงเทพโผล่มาจากแนวต้นไม้แหวกกิ่งไม้ดอกที่บังตาออก เผยให้เห็นโขดหินริมธาร ยอดหล้านั่งบนโขดหินมีเพียงผ้าคาดอกและซิ่น บนมวยผมปักดอกกล้วยไม้ เท้าเปล่าเปลือยขาวสะอาดระน้ำ บนตักมีซึงคันงาม ยอดหล้าดีดซึงอย่างชำนาญและปล่อยอารมณ์ ในน้ำ นางผัน นางเผือน นุ่งซิ่นเปลือยอก แต่มีผมปิดไว้

“เพลงอันใดมีแต่เสียงติงๆตึงๆเจ้า” นางผันว่า

“เจ้านางใยไม่ขับเพลงด้วยล่ะเจ้า” นางเผื่อนข้องใจ

“เพลงนี้ข้าแต่งไว้เพียงทำนอง แต่เนื้อเพลงแต่งเท่าใดก็ไม่เหมาะใจเสียที”

“ฮิ ฮิ ฮิ เจ้านางต้องหาคนรู้ใจมาช่วยเจ้านางแต่งเนื้อเพลงแล้วล่ะเจ้า”

“ฮึ คนรู้ใจอันใด ทุกคนที่เจ้าพ่อ เจ้าแม่ ชักพามาให้ข้า ล้วนเชี่ยวชาญแต่เพลงดาบเชิงอาวุธ หามีผู้ชำนาญบทเพลงไม่”

ยอดหล้าวางซึงลง แล้วเห็นดอกไม้ออกดอกงามก็ขยับไป หลวงเทพสะดุ้งเฮือก

“ช่อนั้นแหละเจ้านางเจ้า งามนักเจ้า” นางผันชี้ชวน

ยอดหล้าดึงดอกไม้ติดมือมา เห็นหลวงเทพอยู่หลังกอดอกไม้ ยอดหล้าร้องอุทาน นางผัน นางเผื่อนร้องวี้ด ยอดหล้าขยับถอยกรูดแล้วเซล้ม หลวงเทพปราดออกมาประคองยอดหล้า นางผัน นางเผื่อนขึ้นจากน้ำ ตวัดผ้ามาคล้องปิดอก เข้าดึงยอดหล้าออก

“เจ้า เจ้าคนชั่ว” นางผัน นางเผื่อนประนาม “กล้าดียังไงมาแอบดูพวกข้าอาบน้ำ”

หลวงเทพยืดกายตรง เห็นใบหน้าที่งามราวแดนอินทร์ นางผัน นางเผื่อนตะลึงไป ยอดหล้ามองแล้วใจวูบวับ

“ขออภัยด้วยเถิด ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ข้าเดินทางผ่านมาแล้วได้ยินเสียงดนตรี ไพเราะเหมือนดนตรีทิพย์จากแดนสรวง ข้าจึงเดินตามเสียงมา ไม่คิดว่าจะเป็นการล่วงเกินพวกท่าน”

“แม้นมิได้ตั้งใจ ก็แล้วไปเถิด ฮิ ฮิ ฮิ” ผันระริกระรี้

นางเผื่อนเอาผ้าคลุมไหล่ให้ยอดหล้า พูดเบาๆ “เจ้านางเจ้า”

“ท่านเป็นผู้ใดกัน” ยอดหล้าถาม

“ข้าชื่อ.. เทพ เป็นพ่อค้ามาจากเมืองใต้” 

“ใช่มากับคณะทูตจากเจ้าเหนือหัวของท่านหรือไม่”

“ใช่แล้ว”

“ผิวพรรณวรรณะท่านงามกว่าจะเป็นพ่อค้า ท่านน่าจะเป็นหนึ่งในคณะทูตมากกว่า”

“ท่านรอบรู้ยิ่งนัก”

“ถ้าเดาไม่ผิด ท่านคือหลวงเทพภักดี บุตรชายของพระยาพิชิตชัย ราชทูต” 

นางผัน นางเผื่อนตาโต หยิกสะกิดกัน หลวงเทพอมยิ้ม

“ส่วนท่านก็สมดังที่ผู้คนเล่าลือจริงๆ เจ้านางยอดหล้า”


ที่ศาลาท่าน้ำ ตกแต่งด้วยม่านบางเบาและพวงมาลาดอกไม้หอม ยอดหล้าอยู่บนตั่งกำลังเล่นซึง เสียงดนตรีนั้นฟังดูวูบวับแปลกหู หลวงเทพนั่งอยู่ตรงข้าม ฟังเพลงอย่างชื่นชม นางผัน นางเผื่อนหมอบอยู่กับพื้นกิ๊กกั๊กกัน ยอดหล้าพรมนิ้วลงบนสายซึง ใบหน้าเปล่งปลั่ง ดวงตาสดใส มองดูหลวงเทพ เมื่อเห็นแววตาชื่นชมก็หน้าแดงหลบตา

“เจ้านาง ปรีชาสามารถนัก คราก่อนท่านบรรเลงเพลงเป็นเสียงธารน้ำไหล ก็เป็นเสียงธารน้ำจริงๆ”

“แล้วเพลงนี้เล่า ทำให้ท่านนึกถึงอะไรเจ้า พี่เทพ”

หลวงเทพนิ่งฟัง เงยหน้าขึ้น หลับตาลง ยอดหล้ามองอย่างหลงใหล หลวงเทพลืมตาขึ้น เสียงเพลงดังวูบวับ

ม่านบางเบาถูกลมยามดึกพัดเปิด เผยให้เห็นท้องฟ้าดำสนิท มีดาวพราวฟ้าวูบวับ หลวงเทพยิ้ม

“ว่าอย่างไร”

“เพลงนี้ชวนให้นึกถึงท้องฟ้าราตรี มีดาวพราวฟ้า บ้างวูบดับ บ้างเจิดจ้า บ้างหรี่แสง บ้างทอแสงนวล เป็นดวงดาราที่ซุกซนนัก”

“ท่านคือผู้เชี่ยวชาญในเชิงดนตรีจริงๆ”

ยอดหล้าบรรเลงเพลงต่อไป หลวงเทพมองยอดหล้าชื่นชม ครั้นมองเลยไปเห็นดารารายถือขันน้ำยืนตะลึงมองดูอยู่ ก็ชะงัก ยอดหล้ามองอย่างแปลกใจ เลิกดีดซึง

“อันใดหรือเจ้า พี่เทพ”

หลวงเทพไม่ตอบ ยอดหล้าหันมา “นั่นใคร”

ดารารายยืดตัวมองหลวงเทพ แล้วเบือนมองยอดหล้า “ข้าเอง เจ้าพี่”

“คิดว่าใคร เจ้านั่นเองดาราราย เข้ามาซี”

ดารารายก้าวเข้ามาในศาลา 

“พี่เทพเจ้า นี่น้องข้าเจ้า ดาราราย”




เรือหางแมงป่องแล่นล่องในแม่น้ำปิงกว้างใหญ่ ในเก๋งเรือ ยอดหล้าอยู่กับหลวงเทพ มีคนเรือ 2 นายคุมหัวคุมท้าย นางผัน นางเผื่อนชมนกชมไม้ ยอดหล้าดีดซึงเป็นเพลงดวงดาวท่อนหนึ่ง หลวงเทพล้วงมือไปในอกเสื้อ หยิบกระดาษฝรั่งออกมาคลี่

“อันใดหรือเจ้า”

“พี่ลองแต่งเนื้อเพลง สำหรับ เพลงซึงของเจ้านาง”

“ข้ารอฟังอยู่”



หลวงเทพยิ้มอ่านบทเพลง ดวงตาเปี่ยมรัก

“น้ำใจนางดุจดาวบนท้องฟ้า ในบางคราดาษดาพร่างเวหน พอจันทร์สายหายลับกลับเมืองบน ทอดทิ้งข้าหมองหม่นตามหาดาว”

ยอดหล้าสะเทิ้นอาย หลบตา “จบหรือยังเจ้า”

“เจ็บช้ำพักเก็บรักไว้ในอก ใจเจ้าเอยเพ้อพกช่างเหน็บหนาว รอเวลาเมื่อไรหนาเจ้าดวงดาว จะหวนคืนส่องสกาว ณ กลางใจ”

หลวงเทพยิ้มนิดๆ ดวงตาเปี่ยมรัก ยอดหล้าหลบตาลง นิ้วมือกรีดสายซึง 



___________________________________________________________



ณ เรือนกาแลโบราณของครูบาสรี บนโต๊ะหมู่บูชามหึมามีของขลัง และรูปเคารพในเชิงไสยศาสตร์ แน่นขนัด ดูลึกลับชั่วร้ายน่าสะพรึงกลัว เทียนสีดำถูกจุดเรียงราย ธูปกำใหญ่ปล่อยควันโขมง ที่หน้าโต๊ะหมู่ ครูบาสรี เป็นนักบวชในผ้าคลุมสีเข้มจนเกือบดำ ดูทรงอำนาจ อายุราว 60 ปี มีเค้าของมหาจรวย ตรงข้ามครูบาสรี ดาราราย นั่งอยู่กับเจ้านางสร้อยคำ มารดา ซึ่งเป็นเจ้านางจากเชียงรุ่ง เป็นชายาองค์รองของเจ้าหลวงแสนอินทร์ ดารารายน้ำตาไหลพราก

“ท่านตา ข้าเจ้าปวดใจนัก ข้า.. ข้ารักหลวงเทพภักดีเจ้า”

“แต่หลวงเทพภักดีเป็นคู่หมั้นของยอดหล้า” ครูบาสรีเอ่ย


“ท่านน้า ท่านต้องช่วยลูกข้า อย่าให้ลูกข้าอกแตกตายเลยเจ้า”

“สิ่งที่เจ้าต้องการ หาใช่เรื่องยากไม่” ครูบาสรีแสยะยิ้ม

ฟ้าแลบสว่างเข้ามาทางช่องหน้าต่าง ทาบลงบนร่างของทั้งสาม




ในเรือน ดารารายเปลือยเปล่าอยู่ในอ่างทองเหลือง เต็มไปด้วยน้ำมันว่านสีแดง รอบด้านมีเทียนสีแดงมากมายเรียงราย ดารารายอ่านอาคม พลางลูบไล้ตัวเองอย่างยั่วยวน นางทิพย์ นางทิม คอยตักน้ำมันว่านราดชโลมอยู่เป็นระยะ


เวลาเดียวกัน ครูบาสรีเอาสายสิญจน์ดำมัดหุ่นขี้ผึ้งชายหญิงประกบติดกันแนบแน่น 


ที่เรือนรับรองกว้างใหญ่ จัดเตียงใหม่ไว้ 2 มุม มุมหนึ่งพระยาพิชิตชัยนอนหลับสนิท อีกมุมหลวงเทพภักดีนอนอยู่ ควันสีแดงโรยตัวลงจากเพดาน แสงสีแดงเรื่อทาบลงมาบนหน้าหลวงเทพภักดี หลวงเทพลืมตาขึ้น


ที่ลานกว้างหลังคุ้มเรือนดาราราย นางผัน นางเผื่อนเดินระริกระรี้กันมา 

“ข้าเห็นนะว่าเจ้าปั๋นจับมือถือดันเจ้า” ผันเย้า

“ข้าก็เห็นเจ้าจูบเจ้าอินจนลิ้นปลิ้น”

สองนางไม่มีใครแพ้ใครค้อนควักกันแล้วเห็นว่าท่ามกลางแสงเดือน มีร่างชายผู้หนึ่งลัดเลาะจากเงามืดใต้เรือน เหยียบอ่างบัวใหญ่ แล้วลอยตัวเข้าหน้าต่างเรือนหนึ่ง นางผัน นางเผือนตาโตเท่าไข่ห่าน สบตากัน

“เจ้านางน้อยนัดผู้ชายเข้าหา”




ห้องนอนดารารายกว้างใหญ่ มีเครื่องเรือนงดงามสูงค่า กั้นเป็นส่วนนอก ส่วนใน ด้วยม่านปัก ที่ส่วนนอกมีเสียงทุบประตูโครมคราม นางทิพย์ นางทิมละล้าละลังเหลียวหน้าเหลียวหลัง

“เปิดประตูเดี๋ยวนี้ เปิดเดี๋ยวนี้” เจ้าแสงอินทร์สั่ง

นางทิพย์ นางทิมตัดสินใจเปิดประตู เจ้าแสงอินทร์ถือดาบก้าวเข้ามาอย่างโกรธจัด ตามติดด้วยสร้อยคำ นอกประตูมีชายฉกรรจ์ถือดาบคุมเชิง นางทิพย์ นางทิมร้องไห้ คุกเข่าราบลง เจ้าแสงอินทร์แหวกม่านเข้าไปด้านใน เห็นเตียงใหญ่สี่เสามีมุ้งบาง เจ้าแสงอินทร์ฟันมุ้งขาดกระจาย ดารารายที่เปลือยเปล่าผวาลุก เอามือตะปบผ้าห่มปิดอกไว้ 

“ดาราราย นังลูกชั่ว”

ข้างกายดาราราย มีชายหนุ่มนอนตะแคงไม่รู้สึกตัว เจ้าแสงอินทร์โกรธจัดกระชากให้หันมา เห็นว่าคือหลวงเทพที่งัวเงียลุกขึ้น เจ้าแสงอินทร์เงื้อดาบ “นี่เจ้าเองหรือ”

ดารารายผวาเข้าเอาร่างบังหลวงเทพ “เจ้าพ่ออย่าเจ้า”

“เจ้าพี่” สร้อยคำเข้ายุดแขนเจ้าแสงอินทร์


ที่ห้องนอนยอดหล้า ซึ่งอยู่อีกปีกหนึ่งของคุ้มน้อย ยอดหล้าจุดประทีบปักผ้าสไบอยู่ ฝีเข็มเส้นไหมงดงามเป็นระเบียบ ห่างออกมาที่หน้าต่าง เจ้านางหอมุก ชายาเอกของเจ้าแสงอินทร์ ดูสะสวย เปล่งปลั่ง อ่อนหวานจนดูอ่อนแอ กำลังมองออกไปภายนอก

“ผ้าผืนนี้ใช้ตอนใดดีเจ้าแม่ ตอนรดน้ำหรือตอนงานฉลองดี”

“เอ๊ะ”

“มีอันใดเจ้า”

“เรือนโน้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น”

ประตูห้องเปิดออก นางผัน นางเผื่อนมายอบตัวลง หูตาวาว

“แม่เจ้า เจ้านางเจ้า” นางผัน นางเผื่อนว่า “เกิดเรื่องราวใหญ่แล้วเจ้า”

“เจ้ามีเรื่องโลกแตกอันใดมาบอกข้าอีก” เจ้านางหอมุกถาม

“ทำไม เรือนโน้นเกิดเรื่องอันใด” ยอดหล้าซัก

“เจ้านางน้อยเจ้า นางลักลอบนัดผู้ชายให้เข้าหาถึงห้องนอน” นางผันพยักเผยิดกับนางเผื่อน “ข้าสองคนเห็นกับตา จึงไปทูลเจ้าหลวงเจ้า”


หอมุกยกมือทาบอก ยอดหล้าโกรธ 2 นางข้าไท

“เหลวไหล ดารารายไม่มีวันทำเช่นนั้น”

“ฮึ ข้าสองคนพูดคำจริงนะเจ้า มิได้โป้ปดมดเท็จ” สองนางยืนยัน “นี่เจ้าหลวงคงไปกุมตัวเจ้าแมวขโมยนั้นได้เจ้า ถึงได้เกิดอื้ออึงขนาดนี้”


เสียงเจ้าแสงอินทร์ดังจากหน้าประตู “จะใครอีกเล่า ถ้าไม่ใช่หลวงเทพภักดี”

ยอดหล้าตัวชา เจ้าหลวงแสงอินทร์มองดูยอดหล้าอย่างเวทนาสงสาร ยอดหล้าลุกขึ้นช้าๆ เจ้านางหอมุกถลาไปหาสวามี นางผัน นางเผื่อนร้องอุทาน

“อันใดนะเจ้า เจ้าพี่พูดอะไรเจ้า”

“จริงหรือเจ้า เจ้าพ่อ”

“ยอดหล้าลูกเอ๋ย เกิดเรื่องงามหน้าขึ้นแล้ว เจ้าคุณพิชิตชัยเห็นว่ามีทางเดียวจึงจะแก้ไขเรื่องนี้ได้”

“หนทางใดเจ้า”

“หลวงเทพจะเข้าพิธีกับดารารายแทนเจ้า”

ยอดหล้าหน้าขาวเผือด ดวงตารวดร้าว นั่งลงหยิบผ้าปักมากำแน่นจนเข็มทิ่มลงในเนื้อ เลือดหยดหยาดออกมา


 


ในที่สุด ดารารายก็ได้เข้าพิธีวิวาห์กับหลวงเทพ ยอดหล้าได้แต่เล่นเพลงซึงกล่อมหอจนน้ำตาแห้งเหือด ยอดหล้าถึงกับล้มป่วย ดารารายยังตามมาเยาะเย้ยถึงเตียง เมื่อถึงเวลาที่คณะทูตต้องเดินทางกลับ ดารารายระริกระรี้ ลงเรือไปกับหลวงเทพ ข้างหน้าต่าง ยอดหล้าแอบมองหลวงเทพน้ำตาหยด หลวงเทพหันไปขึ้นเรือ ยอดหล้าทรุดลง นางผัน นางเผือนหมอบจับเท้าร้องไห้ ยอดหล้าเซซังมาขึ้นม้าวายุ นางผัน นางเผื่อนตาม วายุพยศชูขาหน้า นางผัน นางเผื่อนล้มกลิ้ง ยอดหล้าขี่ม้าหนีไป


ผาน้ำตกสูงลิบลิ่ว น้ำตกไหลมาเป็นเส้นสีขาว ยอดหล้าก้าวมาเหนือผาน้ำตก ลมแรง พัดจนชายผ้าคล้องคอปลิวไสว มวยผมคลายหลุด ผมปลิวสยาย ยอดหล้าใบหน้าซีดขาว ดวงตาสับสน ลมพัดผ้าคล้องคอปลิวตกลงไปในธารน้ำ ยอดหล้ายิ้มเยาะตนเองแล้วขยับเท้าก้าวไป ร่างหล่นวูบลง





 
 
 
ชมทีวีออนไลน์ช่อง 5 แบบสดๆ ได้ที่นี่
ติดตามข่าวสารบันเทิงทีวีได้อีกช่องทาง
     Facebook.com/TVSociety