รีเซต

ผมมีแต่ตัวกับหัวใจ!! ตู่-มาวิน เล่าบทพิสูจน์รักแท้ 10 ปีที่มีค่า จูงมือฟันฝ่าคำครหาจนถึงวันวิวาห์

ผมมีแต่ตัวกับหัวใจ!! ตู่-มาวิน เล่าบทพิสูจน์รักแท้ 10 ปีที่มีค่า จูงมือฟันฝ่าคำครหาจนถึงวันวิวาห์
Entertainment Report_3
6 ตุลาคม 2563 ( 09:58 )
1.7K

ข่าวบันเทิงวันนี้

เรียกว่าเป็นอีกคู่รักที่คบกันมายาวนานถึง 10 ปี สำหรับผู้จัดละครคนสวย ตู่ ปิยวดี มาลีนนท์ กับนักแสดงหนุ่ม มาวิน ทวีผล โดยระหว่างที่คบกันทั้งคู่ต้องเจอกับกระแสสบประมาทต่าง ๆ นานา แต่ในที่สุดก็ฝ่าฟันกันมาจนถึงวันที่ใกล้จะแต่งงาน เดินทางจับมือกันมาสู้ฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ นานา ทั้งคู่ที่ได้มาเยือนเป็นแขกรับเชิญในรายการ Club Friday Show ผลิตโดย CHANGE2561 ได้เปิดใจถึงเส้นทางรักที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแบบหมดเปลือก 

พอมีข่าวนี้ออกมาที่เราคบกันกับมาวิน มีแรงกระทบมาจากครอบครัวไหม?
ตู่ : มีค่ะ ที่บ้านก็เรียกไปคุยว่าจริงหรือเปล่า คบกันจริงหรือเปล่า แต่ที่บ้านไม่เคยมีใครคบกับคนในวงการเลย ส่วนมากเป็นคนที่อยู่นอกวงการหมด เรานี่เป็นผู้บุกเบิกเลยสิ่งนี้ให้กับที่บ้านเลย เพราะก่อนที่เขาจะมาจีบคือไม่มีคนในวงการมาจีบเราเลย พอมีข่าวว่าเขามาจีบมีดารามาจีบเราเยอะมาก เพื่อนของเขาก็มาจีบค่ะ คงเพราะก่อนนั้นเขาอาจจะไม่กล้า 

มาวิน : เหมือนที่ผมพูด ผมเหมือนมาปลดล็อคเขาจริง ๆ แต่ตอนนั้นตู่เขาก็บอกผมครับว่ามีใครมาจีบเขาบ้าง 

ตู่ : เพราะอย่างที่เราบอกว่าเราสลับอะไรแบบนี้ไม่เป็น แล้วพอมีเพื่อนเขาส่งข้อความมาถามว่าหลับแล้วหรือยัง เราอยู่กับเขาพอดีเราก็เอาให้เขาดูว่าเพื่อนเธอถามว่าฉันหลับหรือยัง 

มาวิน : ช่วงนั้นคือ คู่แข่งเยอะมาก แต่ผมก็บอกเขาอยู่เสมอว่าสิทธิ์ในการเลือกอยู่ที่เขา ผมเลือกที่จะเข้ามาให้เขาเลือกเอง ถ้าเขาเลือกผมคือโชคดี ถ้าเขาเลือกคนอื่นผมก็ยินดีด้วย เพราะผมบอกว่าผมเป็นใคร เขาเป็นใคร จะให้ผมมานั่งหึงหวงเขาไม่ใช่ ผมต้องเจียมตัว

ตู่ : แต่ก็มีช่วงลองคุยนะคะ 5 คน แต่เรารู้สึกเหนื่อยมาก ๆ เลย แล้วเราก็ไม่ได้ปิดด้วยนะคะ ว่าเราคุยกับหลายคนแต่เรารู้สึกว่ากว่าจะคุยวนมาจนครบทุกคนเรารู้สึกว่าชีวิตเราทำไมเหนื่อยแบบนี้ เราเลยตัดสินใจบอกอีก 4 คนว่าเราตัดสินใจว่าเราจะคุยกับคนนี้แล้ว แต่เราก็คบกันแบบเงียบ ๆ นะคะ เพราะ 8 ปีแรกที่บ้านไม่ถามถึงเขาเลยสักคำ ที่บ้านทำเหมือนเราโสด เหมือนเราไม่มีแฟน เหมือนเราไม่ได้มีเขา เขารู้แต่เขาไม่พูด 

 

การไม่พูดเหมือนกับการไม่ยอมรับหรือเปล่า? 
มาวิน : ใช่ครับ เขาไม่ยอมรับครับ ชัดเจนเลย 

ตู่ : ใช่ค่ะ เขาไม่ได้ห้าม แต่เขาไม่ถามถึง ไม่พูด ไม่ชวนไปกินข้าว ทริปครอบครัวไม่มี ถามว่าเราอึดอัดไหมที่เราต้องอยู่ตรงกลาง ต้องบอกว่ายังดีที่เขาเข้าใจด้วย ว่ามันเป็นไปได้ เพราะตอนนั้นข่าวที่ออกมาเกี่ยวกับเขามันแรงด้วยเขาก็เข้าใจว่าที่บ้านคงต้องใช้เวลา 

 

เรื่องฐานะกับวันที่เกิดวิกฤติตอนนั้นตู่คิดยังไงบ้าง? 
ตู่ : คือต้องบอกว่าตอนนั้นมันลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาก คือ บางทีมันก็สู้ บางทีมันก็ท้อ เวลามันไม่มีคือไม่มีจริง ๆ เขานะคะ ไม่มีจนถึงขนาดที่ตู่ต้องกำหนดให้เขาเลยว่า วันหนึ่งเขาต้องใช้เงินเท่าไหร่ แล้วเธอใช้เงินเท่านี้ต่อวัน เงินในบัญชีที่เธอมีอยู่ เธอจะอยู่ไปได้เท่านี้ปี แล้วในระยะเวลาเท่านี้เธอต้องคิดทำอะไรให้ได้เพื่อให้มีเงินให้ได้ อย่างตอนนั้นตู่ถามว่าเธอมีทรัพย์สินอะไรบ้าง เขามีคอนโด ตู่บอกขายเลย เอาเงินมาก่อนเพราะเราไม่รู้ว่าจะมีงานเข้ามาเมื่อไหร่ ระหว่างนั้นเราก็เอาเงินที่ขายคอนโดมาพยายามตั้งหลักในช่วงนั้น


หลาย ๆ คนบอกว่าไม่เป็นไรเป็นแฟนกันให้กันได้ ตู่มีมากกว่าอยู่แล้ว?
ตู่ : คือตู่คิดว่าถ้าเขาจะดูแลชีวิตเรา ตู่บอกเขาว่าไม่ต้องดูแลตู่ก็ได้ เพราะเราแค่เอาเงินตรงนี้ไปโยกฝากที่นี่ ดอกเบี้ยนู้นนี่ เราก็มีเงินใช้แล้ว แต่อย่างเขามันยากกว่าเรา เราบอกเขาว่าขอให้เขาดูแลตัวเองได้แค่นั้น ส่วนเราก็ดูแลตัวเองเช่นกัน เราไม่จำเป็นต้องให้เขามาดูแลให้เขามาให้เงินเดือนเรา ทุกวันนี้เราหารครึ่งทุกอย่างค่ะ กินข้าวก็หารครึ่ง จริง ๆ บางคนจะคิดว่า ตู่เป็นคนออกแต่จริง ๆ เราจะมีเงินกองกลาง ตู่จะเป็นคนถือพอไปกินข้าวเราก็จ่าย แต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่มันเป็นเงินของเราสองคน ช่วงแรก ๆ ที่เราคบกันไม่ได้ไปกินข้าวกับเพื่อนเลยเพราะว่าเขาจ่ายไม่ไหว อย่างเวลาเราไปกินข้าวกับเพื่อนที 2-3 พัน แล้วเรารู้ว่าเขาจ่ายไม่ไหวเพราะเขาใช้ได้วันละ 2-3 ร้อยเอง เพราะอย่างที่บอกเราไม่ได้จ่ายให้เขา และถ้าเขาไปเขาก็จะอึดอัดทุกคนจะอึดอัดเราเลยรู้สึกว่าถ้าพร้อมเดี๋ยวค่อยไปก็ 2 ปีที่ไม่ได้ไปทานข้าวกับเพื่อนเลย และเมื่อเขาพร้อมเขาเข้ามาในสังคมเพื่อนเราเพื่อนทุกคนคือรักเขามาก เพราะเขาเป็นคนชอบเล่าเรื่องและทุกคนก็ฟังเขา เวลาที่เขาไม่ไปมันเหมือนวงสนทนามันเงียบไปเลย 

 

เคยมีสักครั้งไหมที่จะยอมแพ้? 
ตู่ : ตู่ไม่เคยมีความคิดที่จะยอมแพ้นะคะ 

มาวิน : ผมก็ไม่เคยคิดจะยอมแพ้ครับ 

ตู่ : แต่ตู่จะกดดันเขาหนักมาก ทุกวิธี บางทีด่าเขาจนแบบ ให้เขาเดินให้ได้สักที

 

ตู่เป็นคนทำงานหนักมาก มาวิน เลยหาตัวช่วยแก้เครียดมาให้คือแมว? 
ตู่ : (หัวเราะ) คือ ตอนนั้นเขาไม่มีงาน เพราะจากคนที่มีงานเดินแบบทุกวัน แล้วพอไม่มีงานเขาก็อยู่บ้านเขาก็ฟุ้งซ่าน แล้วก็เครียด และวัน ๆ ก็รอว่าตู่ประชุมแล้วก็มาหาเขา คนที่ไม่มีงาน ไม่มีเงิน มันเครียดจริง ๆ นะคะ คือน้ำตาไหล แล้วเขาก็ไม่ได้ขอเงินที่บ้านด้วย พอเขาเครียดเราก็บอกเขาว่าเธอชอบอะไร เขาก็บอกว่าเขาชอบแมว ตู่ซื้อแมวเลยค่ะ เธอเลี้ยง เขาบอกว่าเขาเคยประกวดได้ Grand Champion เราก็บอกเขาว่านี่คือแมวของฉันนะ งั้นเธอก็เลี้ยงแมวตัวนี้ให้ได้ Grand Champion คือตอนนั้นเราแค่รู้สึกว่าอยากหาอะไรให้เขาทำก็เลยซื้อแมวมา 2 ตัว 

มาวิน : แล้วทั้งคู่ก็ได้ถ้วยพระราชทาน ตัวหนึ่งเป็นแชมป์เอเชียเลย เราก็ศึกษาจริง ๆ ทั้งในเรื่องการกิน การอยู่ การใช้ชีวิตกับเขา มั้งสองตัว ตอนนั้นกลายเป็นแมวพลิกชีวิตอีกครั้ง คือแมว งานเยอะมาก ผมไม่มีเลยนะครับ แต่แมวงานชุกมาก เป็นพรีเซนเตอร์อาหารแมว เรียกว่าแมวพลิกชีวิต แมวดูแลเราด้วยผมนี่ให้แมวเลี้ยงมา 5 ปี เลยนะครับ (หัวเราะ) 

ตู่ : คือ ก่อนที่เราจะเลี้ยงแมว เคยนั่งมองหน้ากันแล้วเขาก็น้ำตาไหล เพราะคิดไม่ออกว่าจะไปทางไหน อย่างตู่ เราโตมาในครอบครัวนักธุรกิจ เราก็จะคิด ทำอะไร ๆ แต่เขาโตมาแบบตั้งแต่เด็ก ๆ เขาก็จะเป็นนายแบบตั้งแต่เอแบค มีคนมาจ้างทำ คือเขาไม่เคยคิดทำธุรกิจ ลงทุน 

 

มีมุมหนึ่งไหมที่โกรธคนที่แฉ เข้ามาคว่ำชีวิตเราวันนั้นไหม? 
มาวิน : ณ วันนั้นโกรธครับ แต่ ณ วันนี้ต้องขอบคุณเขา ถ้าไม่มีวันนั้นก็ไม่มีวันนี้ 

ตู่ : ตู่ว่าบางอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเขา ทำให้เขาเหมือนเจอปัญหาอะไร ตอนนี้กลายเป็นเรื่องเล็กไปแล้ว

มาวิน : บางสิ่งบางอย่างที่ทำบางครั้งอาจจะทำเพื่อความสะใจ แต่ไม่รู้เลยว่าอาจจะทำให้คนหนึ่งเกือบตายเหมือนกัน

มาวินรู้ไหมว่าใน 8 ปี ที่ครอบครัวเขาไม่ถามถึงเราเลยแปลว่าเขาอาจจะมีอะไรในบางมุมแรกที่ไม่ยอมรับ? 
มาวิน : ผมเชื่อว่าจะมาให้รับผมอย่างผมมันยากอยู่ครับ เรารู้ตัวทุกอย่างเลย รู้สถานะตัวเอง เราเจียมตัว ตัวเองเลยครับ รู้ว่าเขาเป็นใคร เราเป็นใคร ผมแค่ได้เขามาก็ดีใจแล้ว ผมไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของบ้านเขาเลยบอกเขาแบบนี้เสมอ แม้กระทั่งไปดูหนังหรือไปกินข้าวกัน ถ้าที่บ้านโทรมา ตู่ไปกินข้าวที่บ้าน เรายกเลิกหมดเลย ไปกับที่บ้านก่อนแล้วเราค่อยมาเจอกัน ค่อยนัดกันวันหลังให้ที่บ้านเป็นอันดับหนึ่งของเขาไปเลย ไม่มีน้อยใจเลยครับ เราดีใจด้วยซ้ำที่เขาไปอยู่ข้าง ๆ โกนะ ไปอยู่กับม๊า ๆ นะ ถึงที่บ้านจะไม่ยอมรับเราแต่เราได้อยู่ข้าง ๆ กัน เขาอยู่ข้างผม ผมอยู่ข้าง ๆ เขาแบบนี้ผมดีใจมากแล้วครับ เราร้องไห้ด้วยกันหลายครั้งมาก ผมกลัวเขาทิ้งผมนะ 

 

แต่ก็มีเหตุการณ์ที่เหมือนฟ้าเปิดเพราะที่บ้านอยู่ ๆ เอ่ยถึงชื่อมาวิน ขึ้นมา? 
มาวิน : สุดท้ายวันของผมก็มาฟ้าก็เปิดสักที (ยิ้ม ๆ) ไปงาน Outing กับบริษัทของ ตู่ พี่ลีน เขาเอาลูกไปด้วยตอนนั้นเขาอายุ 6 ขวบ ก็ได้เล่นเกมส์กับเขาแต่เราโตกว่าเราเลยเล่นสกิลสูงกว่าเขาหลานเลยติด เบรธ คือ ติดมากตอนนั้นเดินตามเป็นลูกเป็ดเลย พอหลังกลับจาก Outing หลานก็ถามถึงเราบ่อยพูดชื่อเราบ่อย อย่างไปเที่ยวหลานก็จะบอกว่าอยากให้อาวินมาด้วยจังจะได้มาเป็นเพื่อนเล่นกับ เบรธ ก็เลยสนิทกันมากกับหลานจนตอนนี้เขาเป็นหนุ่มแล้วก็ยังสนิทซี้กันเลย

ตู่ : ที่บ้านก็จะได้ยินชื่อเขาตลอดเวลา พอได้ยินชื่อบ่อย ๆ ตรุษจีนปีหนึ่งค่ะ ลองชวนเขามากินข้าวกับที่บ้านไหม เราก็บอกเขาว่าพี่สาวฉันชวนเธอไปกินข้าวที่บ้าน 

มาวิน : ตอนนั้นเราบอกว่าจริงเหรอ กลัว ๆ เพราะว่ารวมญาติ ทุกโต๊ะคือ มาลีนนท์ ผมไม่รู้จะอยู่ตรงไหน ตอนนั้น ไม่ได้เตรียมตัวเลยครับแต่ใส่เสื้อสีแดงเข้าใส่อย่างเดียวเลย พอไปแล้วเราสวัสดีทุกคนเรียบร้อยก็นั่งที่โต๊ะไม่กล้าลุกอีกเลย ไม่กล้าคุยกับใครเลย กินของที่โต๊ะไม่เหลือเลย

ตู่ : แต่วันนั้นกลายเป็นเรื่องที่บ้านพูดกันว่ามาวินมันกินได้ขนาดนี้เลยเหรอ (หัวเราะ) แต่พอหลัง ๆ จากที่หลานถามถึงกลายเป็นแม่เริ่มถามแม่เริ่มชวนเขามาสิ ปกติที่บ้านจะกินข้าวด้วยกันทุกวันอาทิตย์ค่ะ แม่ก็บอกว่าชวนเขามาสิ เกาหลีไม่มาเหรอ

 

เล่าวันขอแต่งงานหน่อย? 
มาวิน : ผมเป็นคนที่เซอร์ไพรส์อะไรไม่เป็นเลยครับ เพราะคบเขา ผมจะไม่โกหก ไอจี หรืออะไรต่าง ๆ ของผม เขามีพาสเวิร์ดหมดคือ ผมจะขยับตัวยากมาก กลางคืนจะมีเวลาอยู่บ้านก็มันมีเวลาไม่พอเตรียมตัว โชคดีครับไปถ่ายซีรีส์แล้วต้องไปหัวหิน 5 วัน 5 วันแห่งการเตรียมการ ลูกพี่เราเขาเป็นคนจัดการเตรียมการ แต่เพื่อนอีก 50 คนรออยู่ในห้อง VIP คือ ทุกคนที่อดทนรอไม่ออกไปไหนเลยอยู่ในห้องนั้น ผมนี่มือเย็น หน้าไม่นิ่งไปหมด แต่พอเขามาเราก็ต้องเก็บอาการ พอกล่องมาวางปุ๊บ เปิดออกมาสิ่งแรกที่ผมมองก่อนเลยคือ แหวนอยู่ไหน มองไม่เห็นเลยเราก็นึกในใจเอาแล้ว แล้วตู่ เขาก็ทักเราอีกว่าทำไมมือต้องสั่น เราก็เรียกเชฟมานี่ปลาอะไร (ใจจริง ๆ จะถามว่าแหวนอยู่ไหน) แต่เชฟป้อมก็ตอบจริงจังไปอีกแนะนำปลาไปอีก คือตอนนั้นที่เรากินปลาคือ ไม่รู้รสชาติอะไรล่ะ ห่วงแต่แหวน เราเลยเอามือลงไปจวกแหวนใส่สาหร่ายแล้วก็เลยหยิบมาให้เขาว่า นี่ ๆ เขามีของแถมมาให้ด้วย เป็นครั้งแรกที่เราทำเซอร์ไพรส์เขาสำเร็จ แล้วเราก็ส่งสัญญาณบอกให้เพื่อนออกมา

ตู่ : เราร้องไห้จริงจังมากเพราะเราไม่คิดเลยว่าเราจะมีวันนี้ แล้วไม่คิดว่าเขาจะทำเซอร์ไพรส์อะไรได้เลย

มาวิน : อย่าว่าแต่เขาไม่เห็นปลายทางเลยครับ ขนาดตัวผมยังมองไม่ออกเลยแต่ต้องขอบคุณเขาที่อยู่กับผมมาจนถึงในวันนี้

ตู่ : เพราะว่าเขาทำให้ทุกวันเรามีความสุข มันก็เลยรู้สึกว่าอยู่แบบนี้มันก็โอเค ถ้าเลิกกับเขาไปอาจจะไปหาคนที่เขาพร้อมเราอาจจะไม่มีความสุขแบบนี้ก็ได้

 

ได้ฤกษ์แต่งงานแล้วใช่ไหม เหมือนคนคาดหวังว่าสินสอดจะต้องเป็นแบบพันล้านหรือเปล่า?
ตู่ : 20 ธันวาค่ะ หมั้น แล้วก็ฉลองแต่งงานคือ ปีหน้าเลย 28 กุมภาพันธ์ 

มาวิน : มาแต่ตัวกับหัวใจเลยครับ ผมโชคดีที่สุดในชีวิตครับที่ได้เขามาเป็นแฟนและมาเป็นคู่ของผม สินสอดทำที่เท่าที่ทำได้เพราะผมตัวคนเดียว ผมบอกที่บ้านเลยว่าให้พี่ชายกับพี่สาวไปเลยบ้านผมฐานะปานกลาง แล้วเราทำมาด้วยกัน 2 คน ผมอาจจะไม่ได้มีเท่าคนอื่นเขา แต่ในชีวิตของผมผมให้เขาเต็มที่แน่นอน

ตู่ : เราบอกเขานะว่าไม่ต้องซีเรียสนะเรื่องนี้เพราะเป็นเหมือนสิ่งที่ทุกคนสนใจ เพราะว่าเราแต่งกับเขาไม่ได้เพราะเงินร้อยล้าน เราแต่งกับเขาเพราะรู้ว่าเขารักเรา 

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :