รีเซต

ศิต ประกาศิต เปิดใจ หลังปล่อยของ 10 ล้าน ระบายความเครียด ปลดพันธนาการ

ศิต ประกาศิต เปิดใจ หลังปล่อยของ 10 ล้าน ระบายความเครียด ปลดพันธนาการ
ข่าวสด
5 มีนาคม 2564 ( 20:18 )
81

ศิต ประกาศิต เปิดใจ หลังปล่อยของ ร่วม 10 ล้าน ระบายความเครียด ปลดพันธนาการ

ศิต ประกาศิต เปิดใจ - วันที่ 5 มี.ค. ที่ ตลาดปัฐวิกรณ์ นักร้องนำวงร็อก วงโมทีฟ ขวัญใจวัยรุ่น ศิต ประกาศิต สากลวารี ให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์เปิดใจถึงสาเหตุที่ต้องขายทรัพย์สินต่างๆ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่าย หลังจากที่ได้รับผลกระทบ จากสถานการณ์เชื่อไวรัสโควิด-19 ระบาดหนักในประเทศไทย ทำให้ไม่สามารถรับงาน จนไม่รายรับมาเป็นระยะเวลาหลายเดือน

โดย ศิต เผยว่า “เป็นการประกาศขายที่อาจจะดูกะทันหัน เราพยายามสู้แล้ว แต่ไม่ไหว ตั้งแต่วันที่ผมหายไปจนวันที่ผมกลับมา ผมขออนุญาตใช้คำว่าไม่ได้ท้อนะครับ ยังมีความรู้สึกอยากสู้ และขอเป็นกำลังใจให้เพื่อนทั้งประเทศที่เป็นเหมือมผม แต่อันนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ผมเครียดและเป็นสิ่งที่ผมต้องจ่ายทุกเดือนๆ มันสุดทางของคนๆนึง ต้องใช้คำว่าขออนุญาตขายความเครียด

ซึ่งพี่ๆสื่อมวลชนและแฟนคลับทั่วประเทศเปนกำลังใจให้ผมว่าผมห้ามหายไป และผมก็หาสาเหตุเจอ อันนี้เป็นอีกหนึ่งสาเหตุใหญ่เป็นสิบๆปีแล้วที่ผมบอกทุกคน เป็นสาเหตุที่ผมเก็บมานาน มันเป็นธุรกิจที่เอื้ออำนวยความสะดวกให้กับน้องๆนักดนตรี และกับทุกคนที่มีงานทำ แต่ผมรับในราคาถูกมาก ถูกจนผมแทบไม่มีกำไร ได้นำไปคืนให้ผู้มีพระคุณที่ลงทุนให้ผมด้วยบางส่วน ก็เลยเครียด และยิ่งโควิดด้วย”

“ธุรกิจที่ผมทำคือบริษัทซาวด์แอนด์ไลท์ติ้ง ซิสเต็ม ชื่อบริษัท ซาวด์เคลียร์ ผมก่อตั้งคนเดียว เป็นระบบแสง สี เสียงคอนเสิร์ต ระบบใหญ่รองรับคนประมาณ 3 – 5 หมื่นคน ของทั้งหมดที่มีตอนนี้พี่ที่ใจดีอยากจะเปิดผับสามารถเอาไปปุ๊ปแล้วเปิดได้ 3 ผับใหญ่ๆ และก็เป็นออแกไนซ์ คิดวางแผน พัฒนาทั้งระบบจบที่เราที่เดียว อยากได้นักดนตรีผมก็มีเพื่อนๆน้องๆ ครบวงจรครับ”

ปัญหาหลักคืออะไร ที่ทำให้มาถึงจุดประกาศขายอุปกรณ์ทุกอย่าง “ตั่งแต่โควิดครั้งแรก พยายามสู้ตั้งแต่ครั้งนั้น แต่มันก็มีรายจ่ายที่ยังคงอยู่ทุกเดือน สู้มาตลอดปีกว่าๆโดยแทบจะไม่มีรายรับเข้ามาเลย ผมแค่ต้องการปลดพันธนาการให้ผมเหลือศูนย์ แล้วค่อยว่ากันใหม่ จำเป็นที่จะต้องขายความเครียด มันทำให้ผมต้องหายไป ณ วันนั้น มันคือสิ่งที่ผมต้องเจอทุกวัน กำไรที่ได้มาก็ซื้อของ และเอามาพัฒนาองค์กรต่อ แต่มันไม่ได้กำไร ซึ่งโพสต์ก่อนที่ผมหายไปว่าผมดีใจที่ได้ดูแลทุกคน

ผมยังคงเดิมครับ ดีใจที่ได้ดูแลเพื่อนๆที่ทำออแกไนซ์เหมือนกันได้เช่าในราคาถูก ทุกคนอยากให้ผมแข็งแรง ผมแข็งแรงนะ อยากบอกคนเป็นซึมเศร้า ขอเรียกว่าโรคเครียดแล้วกัน ใครที่ไม่โอเค ผมขอเป็นกำลังใจให้ และคนที่ล้ม ไม่โอเคเหมือนผม สู้นะครับ ทุกคนให้ผมสู้ ผมสู้แล้ว และผมก็แข็งแรง นี่การพูดอ้อม พูดให้กำลังใจ

แต่จริงๆแล้วผมแย่มากครับ ผมสุด คุณคิดว่าคนๆนึงจะขายทรัพย์สินตัวเองทั้งหมด มันต้องสุดขนาดไหน ผมแข็งแรงครับ อยากบอกคนที่เป็นโรคเครียดแบบผม คุณต้องอยู่นะ และหาคนข้างๆ ห้ามหายไปไหนเด็ดขาด ผมยังเป็นคนนึงที่ยังมีชีวิตมาดึงพวกคุณได้ แต่คนที่จากไปแล้วไม่สามารถมาพูดแบบนี้ได้ ฉะนั้นอยู่กับผม แล้วผมจะทำทุกอย่างเพื่อสังคมให้ดีขึ้น”

กำลังใจที่หายวูบไปเลย เราเลยคิดแวบนึงขึ้นมาไหม “ถ้าจะให้พูดแบบสารภาพ ณ วันนั้นนี่คือหนึ่งในความเครียด แต่ที่ผมหายไปก็เพื่อไตร่ตรองและคิดทบทวนว่าอะไรที่ทำให้เราเครียด ตรงนี้ก็ขอให้แบบที่ผมคิดไว้ ผมขายความเครียดทั้งหมดทิ้ง เพื่อต้องการให้ไม่มีหนี้ เป็นลาภอันประเสิรฐ”

เป็นหนี้ทั้งหมดเท่าไหร่ “มันสมสมมานานครับ ก็จะเป็นค่าผ่อนรถบรรทุก เป็นค่าผ่อนบ้าน ผมขอเรียกว่าเป็นของสะสมละกัน เงินที่ผมไปเล่นคอนเสิร์ต ไปทำออแกไนซ์ เงินที่ได้มาไม่ว่ามากหรือน้อยผมก็เอามาซื้อของเพิ่มเติม อาจจะเป็นการลงทุนที่ค่อยๆ พัฒนาจนค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น ทั้งหมดอาจจะเป็นหลักสิบล้านอัพที่ผมตั้งใจพัฒนาองค์กร

แต่และอาจจะมีการขอหยิบยืมบ้างจากผู้มีพระคุณที่เห็นความสำคัญกับเห็นศักยภาพในตัวผม ว่าผมทำได้ แต่ ณ ตอนนี้มันกลายเป็นว่าผมหนักจริงๆ ผมไม่ได้บอกว่าผมเก่ง แต่ผมพร้อมลุยงาน แต่เนื่องด้วยตอนนี้สุขภาพตัวเอง กับแก่ขึ้นทุกวันแล้วก็คิดว่าไม่ไหวครับ”

ค่าใช้จ่าเดือนหนึ่งเท่าไหร่ “เหยียบๆ แสนครับ บางเดือนก็หลักแสนอัพ เป็นเบี้ยหัวแตกที่ไม่สามารถกู้คืนหรือทำอะไรได้ ก็คือการผ่อนรถ ผ่อนบ้านนั่นเอง”

รายรับต่อเดือนเท่าไหร่ “รายรับเป็นศูนย์ครับ ตอนนี้เกี่ยวกับตอนนี้บริษัทออแกไนซ์ของผมรายรับเท่ากับศูนย์บาท แต่ยังต้องจ่ายอยู่ ส่วนรายรับตอนนี้ผมก็ทำเรื่อยเปื่อย ตอนนี้อาจจะมีสอนร้องเพลงบ้างก็ได้รับความกรุณาจากผู้ใหญ่ให้ผมไปสอนศิลปิน และผลิตน้ำยาผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับรถ ผมรักรถอยู่แล้วก็เลยผลิตน้ำยาเคลือบเงา น้ำยาขจัดคราบอเนกประสงค์ ทำเพราะต้องการอุ้มลูกน้องให้อยู่ได้ครับ ผมสัญญากับน้องชาย 2 คนไว้ว่าผมจะดูแลเค้าในฐานของเงินเดือน เขาอยู่กับเรามานานแล้ว ผมก็เลยทำเพื่อให้เขาได้มีอาชีพ เราก็ไม่มีวันทิ้งเขา”

เราต้องแบกภาระรายรับเป็นศูนย์มานานแค่ไหนจนถึงจุดที่ไม่ไหวแล้ว “เกือบๆ ปีครับ ตั้งแต่โควิดครั้งแรกเลยครับ แล้วเหมือนกำลังจะดีก็โดนแคลเซิลวันเดียว 19 งาน ช่วงเดือนธันวาคม กำลังจะได้เงินเลยครับ มันเป็นปลายธันวาคมที่เหมือนจะขาดใจ มันสุดจริงๆ ครับ ทีมงานที่ผมต้องดูแลมี 2 คนครับ แต่อาจจะลามไปถึงเรื่องของการาหาเงินบางส่วนมาลงทุนเพื่อให้มีอะไรทำ เพราะเครื่องเสียงตัดทิ้งไปเลยครับ มันไม่มีธุรกิจตัวอื่นครับ เพราะอย่างร้านอาหารก็นั่งทานไม่ได้ จะไปทำอะไรไม่สามารถขยับได้เลย เพราะเราลงทุนไปเยอะ”

“บางท่านถามว่าแล้วที่ไม่คิดจะทำโน่นทำนี่เหรอ ผมทำทุกอย่างที่เป็นความสามารถส่วนตัวที่ทำออกมาแล้วก็ 32 ธุรกิจ ที่ทำอยู่ มันเยอะจริงๆ ครับ แต่ไม่ใช่ว่าธุรกิจทุกอันมันจะประสบความสำเร็จ อะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้ลูกน้อง และที่บ้านผมอยู่ได้ ไม่ได้อยู่เฉยรอโอกาสรอโชคชะตา จนพี่ๆ เตือนว่าพักบ้างก็ได้ ผมจะพูดเสมอว่านอนคืออะไร ผมไม่รู้จักคำว่านอนครับ ผมคิดว่า 24 ชั่วโมงต่อวัน ผมไม่พอ ผมอยากได้ 72 ชั่วโมงต่อวัน ผมคิดเยอะ ทำเยอะ และลงมือทำจริง และไม่เคยท้อครับ”

ที่ประกาศขายจะมีอะไรบ้าง “ที่จะขายใหญ่สุดก็คือกิจการซาวด์เคลียร์ เป็นของสะสมและเป็นระบบลำโพงซิสเต็มส์ ซาวด์แอนด์ไลท์ติ้ง ชื่อบริษัทซาวด์เคลียร์ ก็ฝากพี่ๆ นักข่าวทุกคนไว้ด้วยครับ ใครที่สนใจสามารถซื้อปุ๊บทำธุรกิจได้เลย สามารถรองรับงานเฟสติวัลใหญ่ได้อยู่แล้ว และเป็นรถบรรทุก 6 ล้อ 1 คัน น่าจะช่วยปลดความเครียด และมีรถเบนซ์ของผม ซึ่งเป็นรถคู่ใจ ซึ่งเป็นน้ำพักน้ำแรงส่วนตัวที่เราซื้อมานอน (ยิ้ม) แล้วก็มีบ้านครับ ทุกอย่างที่ว่ามาก็คือยังผ่อนอยู่ ยกเว้นรถเบนซ์ครับ ส่วนบ้าน ของในบ้าน ขออนุญาตให้คำว่าทั้งชีวิตก็ได้ สามารถมาช็อปได้ แต่ว่าอยากให้แบบเหมาก็ดี หรือใครอยากให้แยกก็ได้”

“ตอนนี้คือตัดใจขายทุกอย่างในชีวิต คือมันถึงขั้นสุดแล้วครับ ผมขอเหลือศูนย์จริงๆ ครับ โดยที่ผมไม่ขอมีหนี้สักบาทเดียว อาจจะย้ายกลับไปอยู่บ้านเก่า หรือไม่ก็หาที่ที่ได้อยู่กับคุณพ่อคุณแม่”

คำนวณไว้แล้วใช่ไหมของที่จะขายมูลค่ามันครอบคลุมกับค่าใช้จ่ายที่เรามีใช่ไหมครับ “มันก็คงเอาไปตัดจบ อย่างรถยนต์ ถ้าคนซื้อดาวน์ต่อก็โอเคไป แต่ถ้าไม่ได้ก็คงต้องเอาเงินที่ได้บางส่วนไปตัดจบ เพราะว่าของมูลค่ามันต้องลดได้อยู่แล้ว ก็จะเคลียร์ตรงนี้ เงินที่ได้มาก็คือตัดจบจริงๆ ทุกอย่างครับ แล้วก็จะเอาไปให้กับผู้มีพระคุณ ทดแทนคืนในสิ่งที่เขาดูแลผม แล้วก็มันแย่ทั้งหมด ในเมื่อเขาแย่ เราต้องช่วยเขา เพราะผมก็ไม่เคยทิ้งใคร ไม่เคยทิ้งเพื่อนพี่น้องครับ”

เพราะว่า อย่างที่บอกทรัพย์สินสิบกว่าล้าน ทรัพย์สินสมบัติที่เราขาย ลองตีราคาดูหรือว่ามันจะขาดจะเกินพอดีไหม “เอ่อ ขาดทุนครับ อย่างไงก็ขาดทุน คือต้องยอมรับสภาพขาดทุนอยู่แล้ว อย่างเครื่องเสียง เราเข้าใจว่าไม่ใช่มือหนึ่ง เราสั่งทำเราซื้อมามันคือมือหนึ่ง แต่เราใช้ของถนอม แต่อย่างไงซื้อมาแล้วก็ตีมือสองอยู่ดี รถที่ซื้อมาในราคามือหนึ่ง รถสองปี วิ่งยังไม่ถึงสามพันโลเลย รถบรรทุกคันขาวที่เดี๋ยวจะพาไปชม คือแถบจะไม่ได้ใช้งานวิ่งรับร่วมเลย แค่เอาไว้ขนของ และทุกอย่างผมดูแลดีตลอด ทั้งลิฟท์ไฟฟ้าตัวท็อป ทุกอย่างตัวท๊อป คิดว่ามันจะไปได้ไงครับ คิดว่ามันจะโอเค”

ซื้อมาในจังหวะที่ไม่มีงานพอดี “ใช่ครับ”

แล้วถ้าขายทุกอย่างที่เรามี แล้วยังไม่เพียงพอกับที่เป็นอยู่ตอนนี้ มีทางออกอื่นให้ตัวเองอย่างไรบ้าง คิดไว้ไหม “ก็คงต้องขอผัดผ่อนเจ้าหนี้ แต่ ณ ตอนนี้ก็จะมีเรื่องของไฟแนนซ์ใช่ไหมครับ ก็คำนวณไว้คร่าวๆ ว่าอาจจะปลดหมด แต่ถ้าไม่หมดจริงๆ คือผมต้องทำงานเพิ่มนั่นแหละ ก็คงจะขออนุญาตผู้ใจดี โอเคว่าผมต้องรอคอนเสิร์ต แล้วก็เอางานคอนเสิร์ต ซึ่งเป็นความสามารถส่วนตัวที่ทำได้เอามาปลดพันธนาการ”

รถตั้งใจจะขายเท่าไหร่ “คันนี้ก็ที่ตั้งไว้อย่างได้ล้านสามนิดๆ เพราะว่าคันนี้ก็เป็นดีเซลตัวท๊อปแหละ ก็บอกเพื่อนๆพี่ๆที่ทักมาตลอดว่า ตอนนี้ในตลาดไม่มีแหละ ลองเช็กราคากลางก่อนได้ครับ แล้วก็ แต่งไป ห้าแสนกว่าบาท ทั้งล้อแม็ค ทั้งเบรก ทั้งอะไร คือ มันเป็นความชอบ และช่วงที่ผมยังพอไหว คือแต่งเพื่อที่เราจะให้ลูกค้า คือผมทำรถ และรับแต่งรถ

มีเพื่อนพี่น้องทำสติกเกอร์ ทำอู่ โน้นนี่นั่น มันก็เลยกลายเป็นว่าทำรถเพื่อที่เราจะได้โฆษณาว่าเรามีความสามารถ พอที่จะซ่อมรถให้ลูกค้าได้ สามารถแต่งรถให้ลูกค้าได้ ประมาณนั้น ก็เลยยอมที่จะแต่งเพื่อให้รถมันดูดี แต่ก็ยอมรับว่าคันนี้สภาพดีจริง เพราะผมรักรถมาก ทุกคันที่ออกไปจากผมไม่ต้องซ่อมไม่ต้องทำ ดูดีมาก ๆ ครับ”

แล้วบ้านจะขายเท่าไหร่ “บ้านตอนนี้ยังติดผ่อนอยู่ครับ ก็หวังว่าจะไม่เกินแค่สามล้าน คือทุกอย่างที่ผมขายจะเป็นราคากลาง จะมีราคากลางที่ทุกคนสามารถรับได้ ผมไม่บวกแน่นอน เพราะว่าผมอยากปลดพันธนาการ แต่ว่าถ้าเกิดวิงวอนพี่ๆทุกคนรับ ว่า เอาพูดตรงๆ ว่าถ้าจะมาต่อราคาจนผมไม่ไหว เดี๋ยวผมก็ร้องไห้ อย่าแซวหน้าม้าหนู (หัวเราะ) ประมาณนี้”

แล้วคันนี้หละ รถหกล้อใหญ่ขายเท่าไหร่ “หกล้อใหญ่ คันสีขาว ก็จะเป็นตัวใหญ่สุดของ ฮิโน่ แหละ ตอนนี้เช็คราคากลางอยู่ ก็น่าจะประมาณ สองล้านกลางๆ ครับ เพราะว่าตัวรถพร้อมตู้พร้อมลิฟต์ เกือบๆสามแหละ ทำสีพิเศษด้วย ทำโลโก้ด้วย ติดลิฟต์เพิ่มด้วย เอาเรื่อง ง่ายๆคือราคาตกลงยี่สิบห้าถึงสามสิบห้าเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว แต่ว่ามันได้มีคือไมล์น้อยมาก เพราะรถบรรทุกเราเข้าใจว่าซื้อมาเพื่อวิ่ง ฉะนั้น รถปีหนึ่งเกินสองหมื่นกิโลแน่นอน แต่ของผมน่าจะสตาร์ทไม่เกินสามพันห้าร้อยกิโล รถสองปี แต่สภาพใหม่มาก”

เครื่องเสียง เวที และอื่นๆ ตีไว้ประมาณเท่าไหร่ “เวทีแสงสีเสียงทั้งหมดน่าจะทั้งหมด น่าจะมีมูลค่าประมาณสิบกว่าล้าน แต่ว่า ณ ตอนนี้ผมยังไม่ได้แจกแจ้งว่ารวมทั้งหมดเท่าไหร่ โอเคถ้าขายเป็นเหมา อยากให้พี่ๆมาคุยกันก่อน เพราะผมก็ตอบไม่ได้ เพราะรายละเอียดเยอะ เป็นพันรายละเอียดเลย เพราะฉะนั้นในรูปที่ลงในเฟส ประมาณเกือบเจ็ดสิบรูป ยังไม่หมดครับ ก็ได้แค่ดึง เพราะมันมีข้อจำกัด เดี๋ยวพี่ๆ ที่เน็ตไม่แรงก็จะเปิดไม่ได้อีก ก็จะค่อยๆ เปิดทีละนิด ก็มีไอดอลเป็นแม่นกน้อย

คือผมเห็นวันนั้นแล้วก็ร้องไห้แทนเลยครับ คือ ออกมาเพื่ออุ้มลูกน้อง ก็ไม่รู้ตอนนี้เป็นไงบ้าง ยังไม่ติดตามข่าวเพิ่ม แต่ว่ากล้าที่จะออกมายอมรับว่าไม่ไหว เพื่อดูแลคนที่แม่เขารักทุกคนเหมือนกันครับ ผมก็ต้องยอมขาย เพื่อลูกน้องผม กับ บริวารผม พี่ๆผม น้องๆผมได้อยู่รอด กับตัวผมต่อให้ไม่เหลืออะไรเลย ก็โอเคครับ เดี๋ยว เราค่อยเริ่มต้นกันใหม่เนอะ คนที่เป็นโรคเครียดทั้งหลายนะครับ สู้ไปด้วยกัน”

ให้กำลังใจตัวเองอย่างไรบ้าง “ร้องไห้ทุกวันครับ คนเป็นโรคเครียดร้องก็ต้องร้องครับ เชื่อผม ผมเป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่โดยการที่ยังไม่ไปหาหมออย่างถูกต้อง แต่ทานยาคลายเครียด ผมเป็นคนหนึ่งที่ยังมีชีวิตอยู่ และอธิบายให้ท่านดู ฟังได้ อยากให้ผมเป็นวิทยากรที่ไหน บอกครับ อยากร้องก็ร้อง เพราะมันร้องมาเอง ทุกคนบอกว่าเมคไหม อย่างเมื่อกี้เสียงผมมีสั่นโน้นสั่นนี่ ก็คุณเสียใจอะคนขายของมาทั้งชีวิต ถูกไหมครับ ร้องก็ร้อง แต่อย่าท้อ

มันไม่มีอะไรกับคำว่าน้ำในสมอง สารเคมีในสมอง คุณหายไปสองตัว แค่นั้น เข้าใจตัวเองใหม่ แล้วสู้กับมัน ในหัวผมกลางกระหม่อมผมมีคุณพ่อคุณแม่ลอยขึ้นมาทุกครั้งที่เครียด คือต้องดูแลให้ได้ วันนั้นที่ผมหายไปแล้วทุกคนเห็นในข่าวว่าผมนอนน็อกอยู่ มีอุปกรณ์ทั้งหลายครบหมด ยอมรับครับว่ามันไม่ดี เพราะฉะนั้นอย่าทำตามผมเด็ดขาด ผมผ่านมันมาได้แล้วให้ข้อมูลกับคุณได้ คุณให้ผมสู้ ฉะนั้นพวกคุณต้องสู้ ห้ามหายเหมือนผมเด็ดขาด

เราน่าจะมีโอกาสได้เจอกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ผมจะทำรายการดีๆมาให้กับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกคน หวังว่าผู้ใหญ่จะสนับสนุนผมด้วย จะให้ผมเป็นวิทยากรอธิบายที่ไหนบอก ผมยินดีไป ให้คำแนะนำด้วยคนที่เป็นโรค และยังมีชีวิตอยู่ หาจุดมุ่งหมายให้ได้ว่าทุกวันนี้อยู่เพื่อใคร คนเป็นโรคเครียดก็จะบอกตัวเองว่าไม่รู้จะอยู่เพื่ออะไร

มีหลายเคสครับที่ผมอธิบายไป แล้วก็ออกไปดึงภาพคุณพ่อคุณแม่ ลูกสาวลูกชายของแต่ละคน แล้วผมก็ถามกลับน้องเขาไปว่า นี่คือใคร เขาก็บอกว่าคุณพ่อคุณแม่ ลูกฉันไง ก็นี่ไงครับ สิ่งที่คุณต้องอยู่เพื่อเขา แค่นี้เองครับ ตอบตัวเองให้ได้ว่ากลางกระหม่อมของคุณมีใครอยู่ ของผมมีคุณพ่อคุณแม่อยู่ แค่นั่นเองครับ แล้วคุณจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อครับ”