รีเซต

ไม่กีดกันเรื่องลูก! หนุ่ม ศรราม เปิดใจเรื่องครอบครัว ยอมรับแกร่งแค่ไหนก็เคยร้องไห้ (มีคลิป)

ไม่กีดกันเรื่องลูก! หนุ่ม ศรราม เปิดใจเรื่องครอบครัว ยอมรับแกร่งแค่ไหนก็เคยร้องไห้ (มีคลิป)
Entertainment Report_2
21 ธันวาคม 2563 ( 11:10 )
316

ข่าวบันเทิงวันนี้

หลังจากที่ออกตัวว่าเป็น ซามูไรพ่อลูกอ่อน เดินหน้าเลี้ยง "น้องวีจิ" ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนคนเดียว ล่าสุด พระเอกดัง "หนุ่ม ศรราม เทพพิทักษ์" ที่ได้มาเป็นแขกรับเชิญคนพิเศษในรายการ Club Friday Show ผลิตโดย CHANGE2561 เผยถึงสุดที่รักคือน้องวีจิ ลูกสาว หวงแค่ไหนตอนลูกสาวโต เจ้าตัวเผยมีคำพูดที่เตรียมจะพูดกับลูกไว้แล้ว “คือถ้าคิดว่าไม่ใช่ก็ไม่ต้องพามาเจอ” คุณพ่อน้องวีจิบอกไว้เลย ไม่ชอบรับไหว้ใครเยอะ ๆ พร้อมเปิดใจครั้งแรกกับเรื่องที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง แกร่งแค่ไหนไม่ไหว แต่เจอแบบนี้ทุกวันก็หมดพลัง เผยไม่เคยปิดกั้นแม่ให้เจอลูก 

 

เป็นพระเอกที่มีงานเยอะมากโดยเฉพาะกับ เช้นจ์2561 ขอพี่ฉอด เล่นกันมาทั้งแต่สามีสีทอง แล้วก็มา บังเกิดเกล้า สิ่งที่นึกถึง ศรราม แล้วต้องได้รับบทนี้คือ ผู้ชายนิสัยไม่ค่อยดี แต่ในที่นี่ ผู้ชายนิสัยไม่ค่อยดีมันแปลได้อีกนะ คือไม่ใช่หมายความว่า เขาไม่ได้เป็นคนร้ายไปฆ่าใคร แต่ลึกในตัวของเขามีความเป็นแบดๆที่มีเสน่ห์
หนุ่ม ศรราม : แต่ต้องเรียนพี่อ้อย กับ พี่อั๋น ให้ทราบนะครับ แต่ละเรื่องที่พี่ฉอด เลือกมาเช่น สามีสีทอง หรือ บังเกิดเกล้า มันไม่ได้เป็นละครที่สร้างใหม่เป็นละครที่เคยถูกสร้างมาแล้ว (แต่พอตีความออกมาให้เราเล่น) หลายคนคือเชื่อ ซึ่งในเรื่อง บังเกิดเกล้า ผมไม่ได้คิดอะไรเลยครับ คิดแค่ว่าแม่บอกอะไรผมเชื่อหมด

คอนเซ็ปต์มันคือ เลี้ยงลูกยังไง ได้อย่างนั้น
หนุ่ม ศรราม : คือ แม่บอกอะไรดี ไม่ต้องมีการคิดกลั่นกรองเพิ่มเติมเลยครับเรื่องนี้

 

ขอบคุณคลิปจากรายการ คลับฟรายเดย์โชว์ 

จริง ๆ แล้วเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว แต่อยากให้เรียกซามูไรพ่อลูกอ่อนมากกว่าเพราะอะไร
หนุ่ม ศรราม : เพราะผมว่ามันน่ารัก ไดโกโร ครับเพราะว่าคือผมไม่อยากให้มองว่ามันเป็นเรื่องที่แบบต้องมีอุปสรรคเยอะ หรือ มีอะไรเครียดที่ต้องเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว เพราะเราอยากให้มองว่าเป็นเรื่องสบาย ๆ เป็นเรื่องที่ธรรมชาติของมนุษย์เกิดขึ้นได้ 

แล้วมันสบายจริง ๆ หรือเปล่า เพราะโดยปกติแล้วเราจะพบคำว่าคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวเวลาที่ครอบครัวมีปัญหาเกิดขึ้นคนที่จะรับเลี้ยงดูลูกจะเป็นแม่โดยปกติทั่วไป ในฐานะที่เป็นคุณพ่อที่ต้องเลี้ยงดูมีความสบายๆหรือความยากลำบากอะไรบ้าง
หนุ่ม ศรราม : ผมว่าถ้าเรามีลูกเป็นตัวตั้งทุกอย่างจะสบายหมด มันจะไม่เหนื่อยเลยเพราะเรามีวีจิเป็นตัวตั้ง อย่างเมื่อก่อนเราเป็นลูกใช่ไหมครับ ผมมีป๋ากับแม่ เราทำตัวเป็นลูกที่กตัญญูกับพ่อแม่เลี้ยงดูเขาให้ดีที่สุดในวันที่เขาอยู่ วันหนึ่งป๋าจากไปแล้ว วีจิ มา ตอนนี้เราเอา วีจิ เป็นตัวตั้งพลังงานการขับเคลื่อนในตัวมันเต็มเหนี่ยวเลยครับ

 

เกิดความเข้าใจอะไรบ้างจากการที่เราไม่เคยมีลูกมาก่อนเลยแล้วมีอะไรเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นบ้างในจิตใจของเรา
หนุ่ม ศรราม : เราก็จะระมัดระวังตัวเองมากขึ้น ในเรื่องสุขภาพ เรื่องของความโลดโผน ทุกสิ่งอย่างคือลดลงหมดเลย หรือแม้กระทั่งวิธีการเล่นกับเขาก็ต้องเล่นแบบทะนุถนอมเบา ๆมีความละเอียดมากขึ้น (ทุกวันนี้สิ่งที่เราทำในหน้าที่ของพ่อคือ) คือทำอาหารตอนแรกทำเป็นประจำอยู่แล้ว แต่พอหลังโควิดเราทำงานถ่ายละครเช้าดึก ๆ ทุกวันเลยไม่ค่อยได้ทำอาหารสักเท่าไหร่ แต่เราก็ยังคงมีกิจวัตรประจำวันเหมือนเดิมคือ ใส่บาตรกับลูกทุกเช้า ทานข้าวเช้ากับเขา หรือเล่นกับเขา แต่ถ้าวันไหนมีกองถ่ายสักหนึ่งซีนก็พาไปเที่ยวที่กอง
หนุ่ม ศรราม : ตอนนี้ก็ขวบกับอีกแปดเดือนแล้วครับ ตอนนี้เริ่มอ้อนแล้วครับ ก่อนที่เราจะออกจากบ้านเขาจะเรียกเรา ป๊าป๋า หรือไม่ก็เตรียมใส่รองเท้าจะนั่งรถไปด้วย

ซึ่งการที่เราเป็นคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยว หรือ ซามูไรพ่อลูกอ่อน คือการที่เราต้องเลี้ยงลูกคนเดียวเราต้องทำงานด้วย เลี้ยงเขาด้วย เราต้องศึกษา อ่านหนังสือ ดูวิธีการเลี้ยงเขาไหม แล้วกังวลในเรื่องการแบ่งเวลาไหม
หนุ่ม ศรราม : คือต้องเรียนแบบนี้ก่อนนะครับ ก็คือที่บ้านว่าตั้งแต่ที่วีจิคลอดออกมาเราจะมีพี่เลี้ยงที่ดูแลเด็ก ดูแลวีจิอยู่แล้วซึ่งตอนนั้นเป็นคุณน้าครับ แล้วก็พอวีจิ เริ่มโต 1 ขวบเราก็เปลี่ยนจากคุณน้ามาเป็นพี่เลี้ยงที่มาจากแนสเซอรรี่ซึ่งมาจากแนสซอรี่ของเพื่อนผมที่เรียนเซนต์คาเบรียลด้วยกัน เขาก็จะสอนตามพัฒนาการที่ควรจะเป็น ทานข้าว อาบน้ำ รู้จักเรียง A B C หัดออกเสียง งีบหลับตอนกลางวัน คือ ทำให้เป็นชีวิตประจำวันของเขา ส่วนคุณแม่พออายุเริ่มเยอะขึ้นเราก็ได้พี่เลี้ยงมาช่วยดูแลอีกคน ก็ต้องบอกว่ามีกำลังเสริมที่คอยช่วยเหลือในขณะที่เราทำงานนอกบ้าน ซึ่งถามว่าเราห่วงกังวลที่เราต้องทำงานด้วยเลี้ยงลูกด้วยไหม ผมไม่นะครับเพราะเราเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานเพราะในตอนเด็ก ๆ ป๋า ผมไปถ่ายละครที่ต่างจังหวัดเป็นเดือนๆแล้วแม่คือ คนที่เลี้ยงเรามา ซึ่งมีวันหนึ่งที่พอเรารู้ว่า ป๋า กลับมาจากที่ทำงานแล้วเขาจะมารับเราที่โรงเรียนเรายืนรออยู่ตรงสะพานลอยรอตั้งแต่สี่โมงถึงสองทุ่มเหลืออยู่คนเดียวก็เคยผ่านมาแล้ว เพราะฉะนั้นก็เลยรู้สึกว่าอะไรก็ได้ที่มันเป็นความรักความอบอุ่นที่เราสามารถที่จะเติมเต็มให้เขาเราจะทำ ให้มันดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ครับ

เราจะเห็นความรักที่เคลื่อนตัวจนกระทั่งมาถึงตรงนี้ แน่นอนเรื่องหลาย ๆ อย่างผ่านไปเรียบร้อยแล้ว หลายคนได้เห็นจากข่าว ได้เห็นจากอะไรแล้ว แต่ไหน ๆ มานั่งอยู่ตรงนี้แล้วลองสรุปรวมสักนิดหนึ่งว่าคนที่มีครอบครัวที่อบอุ่นในวันนั้น จนกลายมาเป็น ซามูไรพ่อลูกอ่อน มันเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างทาง
หนุ่ม ศรราม : ก็ต้องขออนุญาตเรียนแบบนี้ครับ ก็คือว่าปัญหาทุกปัญหาที่มันเกิดมันเป็นปัญหาที่ไม่เหมือนครอบครัวอื่น มันไม่ใช่ปัญหาเรื่องคนที่สาม แต่มันเป็นปัญหาที่ไม่ค่อยถูกต้อง แล้วมันเป็นปัญหาที่หนักแล้วมันไม่ได้รับการแก้ไขแล้วมันก็เป็นปัญหาเรื่อย ๆ ตามมา ซึ่งผมเองก็พยายามที่จะประคับประคองให้มันดีที่สุดแล้ว แล้วพยายามจะแก้ไขปัญหาทุก ๆครั้งอย่างดีที่สุด ซึ่งผลลัพธ์ที่ต้องเป็นแบบนี้เพราะมี วีจิ เป็นตัวตั้งอะไรก็ตามที่มันต้องเกิดอันตรายต่อ วีจิ หรือมีผลกระทบต่อลูกนั่นคือสิ่งที่มันไม่ได้แล้วครับ

พอจะเล่าไทม์ไลน์เรื่องที่เกิดหรือการตัดสินใจที่เกิดขึ้นกับเราได้ไหม
หนุ่ม ศรราม : ต้องเรียนแบบนี้นะครับ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นผมได้ทำหน้าที่ผมอย่างเต็มกำลังแล้ว แล้วก็ผมคิดว่าพอมาถึงวันนี้ปั๊บสิ่งต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้นอาจจะถูกเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีก็ได้แล้วเราก็เลยจะขออนุญาตไม่ไล่ไทม์ไลน์นะครับ

ซึ่งเราประคับประคองมาถึงที่สุดแล้ว จุดที่ทำให้รู้สึกว่าเราต้องตัดสินใจในรูปแบบนี้แล้วไม่ได้แล้ว ไม่มีใครอยากตัดสินใจให้ครอบครัวตัวเองต้องแยกย้ายหรอกจุดเปลี่ยนที่แรงที่สุดทำให้ต้องตัดสินใจแบบนี้คืออะไร
หนุ่ม ศรราม : คือผมตัดสินใจตั้งแต่ครั้งแรกแล้วครับ (ตั้งแต่พบความผิดปกติ) เพราะผมเรียนไปแล้วว่าปัญหาที่มันเกิดขึ้นมันเป็นปัญหาที่ไม่ถูกต้องนะ ในเมื่อปัญหาที่ไม่ถูกต้องมันเกิดขึ้นสิ่งที่มันหมดไม่ใช่ (ความรัก) แต่มันหมดความไว้ใจ และในปัญหาที่เราพยายามประคับประคองแล้วแต่มันก็ยังมาเป็นระลอก ๆ สิ่งที่ผมเรียนคือว่าถ้ามนุษย์เราอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว ครอบครัวมันควรจะมีความสุข ไม่ควรร้อน บ้านไม่ควรร้อน บ้านควรเป็นที่ที่อบอุ่นหรือเย็น ๆ เวลาที่เราเหนื่อยจากที่อื่นมาเวลาที่เราเข้าบ้านเราต้องรู้สึกสบาย

 

ถ้าถามว่าปัญหานี้ พี่หนุ่ม รู้มาก่อนแต่งงานไหม
หนุ่ม ศรราม : ปัญหาที่ทำไม่ถูกต้องเนี่ย ไม่รู้ แต่รู้ว่ามีปัญหาอะไรนี้ รู้ แล้วก็แก้ไขให้มาโดยตลอด เพราะเราไม่รู้ต้นเหตุของมัน เรารู้แค่ปลายเหตุ 

ถ้าพูดตรง ๆ รู้ว่ามีเรื่องเงินนิด ๆ หน่อย ๆ มากน้อย แต่ไม่รู้ว่าปัญหานี้มาจากสาเหตุที่แท้จริงคืออะไร
หนุ่ม ศราม : ใช่ครับ แต่คราวนี้มันก็จะเป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง ก็คือถ้าเกิด อั๋น พูดแบบนี้ก็จะอธิบายให้เข้าใจมากขึ้นเพราะว่า การสนทนาที่อยู่ในบ้านมันก็จะเป็นเรื่องปัญหานี้ มันจะไม่ใช่ว่าวันนี้จะพาลูกไปเที่ยวไหน วันนี้ป๋าเหนื่อยไหม มันก็จะถูกวนเวียนอยู่กับเรื่องที่ อั๋น พูดเมื่อกี้ มันก็จะถูกวนเวียนอยู่แบบนั้น ซึ่งเราเองก็ไม่เขาใจ ณ วันนั้น เรารู้ว่ามีปัญหา และเราก็พยายามช่วยแก้ปัญหา แต่สิ่งหนึ่งที่เราอย่างหนึ่งในเรื่องของการสนทนาไม่มีเรื่องอื่นเลย มันมีผลกระทบต่อคนคนหนึ่งที่ต้องออกไปยิ้มหน้ากล้อง คือ เราต้องออกไปมอบความสุขให้กับทุกคน เพราะฉะนั้นพลังงานที่เราต้องได้รับ คือต้องเป็นพลังงานบวกนะ เพื่อที่เราออกไปปั๊บเราส่งให้คนอีกเป็นหมื่นเป็นแสน แต่คือว่าพอเสียงไหนที่เป็นการสนทนาที่มันอยู่เฉพาะเรื่องนี้มันแน่นมากพอสมควรนะ ทุกวัน ทุกเวลา เป็นไปไม่ได้นะ ผมก็ต้องยอมรับว่าผมเป็นมนุษย์ปกติธรรมดา ถ้าผมไม่เติมพลังให้กับตัวเอง ผมก็ไม่สามารถที่จะไปเติมพลังให้กับคนอื่นได้ เราก็อ่อนแอเป็นเหมือนกัน แต่พอเราอ่อนแอเราก็จะหาทางทำยังไงก็ได้ให้ตัวเองกลับมาเข้มแข็งให้เร็วที่สุด

 


เราจะพูดเสมอว่าเวลาเริ่มชีวิตคู่ เรื่องเงินจริง ๆ แล้วมันมีความละเอียดอ่อน คู่ของหนุ่มเองมีการพูดคุยเรื่องนี้มาก่อนการแต่งงานไหม
หนุ่ม ศรราม : ของหนุ่มคือ ได้ช่วยแก้ไขปัญหาเลยครับ ในทุก ๆ ครั้งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนแต่งงาน อย่างที่เราบอกคือเราพยายามแก้ไข บอกให้ปรับปรุง ประคับประคองทุกสิ่งทุกอย่าง ณ วันนั้นนะครับ แต่พอเรามาคิดถึง วีจิ มันไม่โอเคสำหรับลูกแล้ว

เคยมีเหตุการณ์อันหนึ่งที่มันเกิดกับ หนุ่ม บังเอิญพี่ได้ดูตอนที่ หนุ่ม ไลฟ์อันหนึ่งเราจะเห็นชัดเลยว่าพยายามจะแก้ปัญหาจริง ๆ หนุ่มจะพูดอะไรไม่รู้เต็มไปหมดเลยเราก็เป็นคนดูอยู่ซึ่งเราก็ไม่รู้อะไรเยอะนะ แต่สิ่งที่เขาพยายามพูดออกไปซึ่งไม่สามารถพูดออกมาตรงประเด็นได้ เพราะต้องปกป้องทุกสิ่งอย่างอยู่อันนั้นเห็นในความพยายาม ความยากลำบากเราก็ต้องยอมรับว่าเราเป็นคนของประชาชนอยู่ในความสนใจของทุกคน
หนุ่ม ศรราม : แล้วอีกอย่างเหมือนที่ อั๋น บอกคือเราจับต้นชนปลายไม่ถูก เพราะฉะนั้นเราก็ไม่รู้ว่าเราจะไปบอกที่มาที่ไปยังไงที่ต้นเหตุคืออะไร (ซี่งก็มีคนเข้าไปต่อว่าทำไมตอบไม่ตรงคำถาม) ก็อึดอัดบางส่วนนะครับ แต่อย่างที่บอกนะครับว่าเงินทองมันเป็นของนอกกาย คือ เสียเงินเสียทองเท่าไหร่ไม่เป็นไร แต่ถ้ามันเสียความรู้สึกไปแล้วมันเรียกกลับมายาก

 แต่เมื่อกี้ถาม หนุ่ม หนุ่มบอกว่าตอนครั้งแรกที่มีปัญหาผมรู้สึกเลยว่าไม่เอาแล้ว แต่รู้มาว่าหลังจากนั้นก็ยังคงใช้ความพยายามอยู่ด้วยกันเป็นปี
หนุ่ม ศรราม : ใช่ครับ เพราะผมไม่อยากให้ วีจิ ขาดคนใดคนหนึ่งไปในชีวิต ซึ่งตอนนั้นที่เรายังไม่เลิกเพราะเราไม่ได้แคร์เรื่องว่าเราคือศรรามอะไรมากมาย แคร์ลูกมากกว่าแล้วก็ ณ วันนั้นเรารอให้มีการแก้ไขปรับปรุงด้วยเพราะได้มีการพูดจากันแล้ว ซึ่งพอผ่านมาระยะเวลาหนึ่งมันก็ไม่ได้ถูกแก้ไขปรับปรุง แล้วเราก็ประคับประคองอย่างดีที่สุดแล้ว ที่ผมบอกว่าผมเสียความรู้สึก ความรู้สึกที่ผมบอกคือความไว้วางใจ เพราะหลังบ้านเราต้องแน่นหน้าบ้านมันถึงจะรบชนะ

และที่บอกว่าตัดสินใจตั้งแต่ครั้งแรก คือ หย่า เลย แต่ทำไมยังตัดสินใจใช้หนี้ให้อีก
หนุ่ม ศรราม : เพราะอย่างที่บอกครับเพราะเรารอการแก้ไข และ ปรับปรุงเพราะเราก็ยังรักนะ เราก็ให้โอกาส (แต่มันไม่ใช่โอกาสที่มันกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้) เพราะมันเป็นเหมือนเดิมอยู่แล้ว ณ วันนั้นนะครับ เพราะมันยังไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะเรารู้กันแค่ในครอบครัวเรา

ในเชิงกฎหมายมันจบไปตั้งแต่แรก แต่ความเป็นครอบครัวยังอยู่เดินหน้าต่อไปด้วยกันเรื่อย ๆ แล้วฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้การเดินหน้าไปของสภาพนี้มันเปลี่ยนไปต่อไปได้
หนุ่ม ศรราม : มันมีหลายเรื่องเลยนะครับที่เกิดขึ้น แล้วก็มาเป็นระลอก ๆ แล้วเราก็พยายามแก้ปัญหาทุกรอบ จนเราไม่รู้ว่าฟางเส้นสุดท้ายมันอยู่ตรงไหน เพราะเข้ามาหลายทาง และหลายลักษณะ

 มีอะไรที่เกิดขึ้นแล้วทำให้เรารู้สึกว่ามันไม่ปลอดภัยมากจนถึงขั้นว่าไม่ได้แล้ว จนต้องหยุด
หนุ่ม ศรราม : มีคนแปลกหน้ามาที่บ้านมาติดตามทวงถาม ซึ่งก็ไม่ได้มาแค่ครั้งเดียว

ซึ่งหนึ่งในนั้นคือมีเจ้าหนี้ที่แม้แต่เป็นเพื่อนของ พี่หนุ่ม เองด้วย แปลว่าเราไม่รู้ว่าไปติดต่อหยิบยืมยังไง แต่เพื่อนเรากลายเป็นเจ้าหนี้
หนุ่ม ศรราม : ใช่ครับ ก็เหมือนว่าคนรู้จักฝั่งผมถูกไหมครับ แต่เรื่องการหยิบยืมมันเป็นเรื่องของการพึงพอใจเราต้องเรียนแบบนี้ก่อนถูกไหมครับ ใครพึงพอใจที่จะให้ใคร แต่เมื่อความสัมพันธ์ของเราสองคนถูกบอกให้สังคมรับรู้แล้วว่ามันยุติเพราะฉะนั้นใครก็ตามที่เป็นคนใกล้ชิดของผมถ้ามันไม่เหนือบ่ากว่าแรงผมก็ต้องเป็นคนที่จัดการ เหมือนที่ผมเคยให้สัมภาษณ์ไปว่าผมก็ต้องเหมือนเริ่มนับหนึ่งใหม่ เหมือนกับใช้หนี้ส่วนหนึ่ง อีกส่วนก็ต้องเก็บไว้ให้ วีจิ ในอนาคต อีกส่วนก็ต้องเอาไว้ดูแลแม่ครับ

แต่ของบางอย่างที่เราให้ความไว้วางใจให้เข้าเก็บเอาไว้เช่นทองของลูกต่าง ๆ นานา ตรงนั้นหายไปหมดหรือเปล่า
หนุ่ม ศรราม : ผมไม่ทราบว่าหายไปหมดหหรือไม่หมด เพราะทองไม่เคยอยู่กับผมเลยตั้งแต่วันแรกที่ได้รับมา (เป็นของขวัญของลูก) เพราะผมไม่ได้เป็นคนเก็บ แต่ผมเรียนตรงนี้เลยว่าแม้แต่สลึงเดียวก็ไม่ควรหายไป รักลูกก็ต้องรักษาสมบัติที่เป็นของลูกไว้ด้วยครับ ส่วนของที่ มอส เพื่อนรักของผมทำมาให้เป็นล็อกเก็ต หลังจากที่ผมโพสต์ใบหย่าไปแล้วผมก็บอกขอความกรุณาใครที่ได้ทำธุรกรรมไม่ว่าเรื่องใด ก็ตามก็ให้ไปติดต่อกันเองเพราะว่าไม่ได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านผมแล้ว แล้วผมกับลูกไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง พี่ที่เป็นมอเตอร์ไซค์ที่คอยดูแลบ้านเราเขาก็เอาล็อกเก็ตมาคืนผม เขาก็บอกว่ามันเกือบจะต้องไปอยู่ที่ร้านทองแล้วนะครับ แต่เขาตัดสินใจเอาเงินส่วนตัวเขาให้แล้วเขาเก็บเอาไว้ให้เรา ซึ่ง พี่มอส เจ้าของล็อกเก็ตเขาก็เข้ามาแซวเราว่ายังดีที่เหลือของเขาไว้หนึ่งอัน ซึ่งพี่มอสเขาเป็นคนน่ารักมากให้คำปรึกษาผมอยู่ตลอดเวลาวิธีการเลี้ยงลูก ดูแลลูก อย่างคำนิยามของ ศรราม พี่มอส เขาให้คำที่ดีมากก่อนแต่งงานว่า พี่หนุ่ม ก็เหมือนคนขับรถ แล้วไม่รู้จะไปไหน แต่พอมีลูกแล้ว ตอนนี้เข้ารู้แล้วว่าเขาขับรถแล้วเขาจะไปไหน เห็นเป้าปลายทางของเรา คือ วีจิ 
หนุ่ม ศรราม : หลังจากที่ผมโพสต์ใบหย่าไปผมไม่ใช่คนที่ออกสื่อ ถ้าสังเกตผมจะไม่ได้ออกไปพูดอะไรทั้งสิ้นเลย พอเราทราบความจริงจากรายการต่าง ๆ ออกไปผมได้มีโอกาสไปออกรายการ แฉ ของพี่ฉอด ครั้งเดียว และนักข่าวตามไปสัมภาษณ์ผมตามงานอีเวนต์เท่านั้น

ในตอนนั้นที่บอกว่าเสียความรู้สึกแต่ยังรักไหม
หนุ่ม ศรราม : ก็รักนะครับ รัก แล้วก็ ณ ตอนนั้นก็พยายามทำความเข้าใจแต่เราก็ไม่รู้ว่าอะไรคือต้นเหตุจริง ๆ เราก็ทำได้แค่จัดการแก้ไขสถานการณ์ที่มันเกิดข้างหน้าให้มันผ่านไปให้ได้ให้มันดีที่สุดในแต่ละเคส ๆ ไป

รู้ว่าลูกยังเล็กแต่ได้บอกลูกสื่อสารหรือมีการพูดคุยกันถึงเรื่องนี้กันยังไง
หนุ่ม ศรราม : ไม่มีเลยครับ ผมจะพยายามระมัดระวังในสิ่งที่ถึงแม้ วีจิ เขาอาจจะยังรู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่องก็ตาม ถ้าเขายังอยู่ในวัยที่เขายังไม่รู้เรื่องก็ไม่ต้องรู้เรื่องเพราะพ่อ หรือ แม่ ก็ไม่ควรพูดบางสิ่งอย่างให้ลูกฟัง เขาควรจะฟังในสิ่งที่เขาควรจะฟัง

ตอนนั้นได้ปรึกษา คุณย่า ไหม
หนุ่ม ศรราม : ไม่ครับ ไม่ปรึกษาใครเลย ซึ่งคุณย่ารู้เรื่องและเราเชื่อว่าแม่น่าจะทุกข์พอสมควร ตอนนั้นตัดสินใจได้ไม่ยาก เพราะเข้ามาแล้วรู้สึกไม่ปลอดภัยกับลูกกับแม่คือไม่ได้แล้ว

ในเวลาที่เกิดปัญหาครอบครัวเกิดขึ้นต้องแยกกัน คือ ไม่มีใครไม่ว่าเพศไหนหรอกที่อยากจะแต่งงานแล้วมาแยกย้ายกันทีหลังทุกคนก็อยากจะมีชีวิตครอบครัวที่แบบยาวนาน แต่ในความที่เป็นผู้ชายมีวิธีในการแสดงออกถึงปัญหาการแยกกันยังไง เสียใจไหม ร้องไห้ไหม
หนุ่ม ศรราม : ผู้ชายก็ร้องไห้เป็น ระยะแรก ๆ ก็เป็นนะครับ มันเหมือนกับว่าเราก็เคยอยู่กันเป็นครอบครัวก็นอนที่พื้นกันสามคนพ่อแม่ลูก แต่มันก็ต้องเข้มแข็ง เพราะถ้าเราไม่แข็งแรงเพียงพอเราก็ไม่สามารถพาลูกและตัวเราออกจากจุดตรงนั้นได้ และคิดถึง วีจิ เราก็ไม่ร้องแล้วครับ มันไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ถูกคือ ร้องแล้วทุกอย่างมันดีขึ้นผมจะร้องแต่ถามว่ารู้สึกซึมๆดาวน์ๆไหมมีนะครับ แต่พอเราหันไปเจอ วีจิ คือ ก็หายครับ

เราเชื่อมั่นในความเป็นคุณพ่อขนาดไหน ลูก จะไม่ขาดแน่นอน
หนุ่ม ศรราม : เชื่อมั่นในตัวเองมากครับ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมคิดผมไม่ได้คิดถึงตัวเองแต่ผมคิดถึง วีจิ คนเดียว 

ตอนนั้นทัวร์ลงเลย 
หนุ่ม ศรราม : อาจจะเป็นเพราะว่าคนยังไม่เข้าใจว่าต้นสายปลายเหตุมันคืออะไร (แล้วเวลาที่เราไปอ่านเขาวิเคราะห์วิจารณ์เราในมุมที่เขาไม่ได้รู้จริงอย่างนี้ถามว่ารู้สึกอย่างไรบ้าง) คือตอนนั้นเราแทบจะไม่ได้โฟกัสคอมเมนต์ในโซเชียลเลยครับ เราพยายามที่จะโฟกัสแค่ครอบครัวเราก่อน จะทำยังไงให้ครอบครัวของเราสามารถไปต่อได้

ผ่านจุดที่ยากที่สุดตรงนั้นมาได้ยังไง
หนุ่ม ศรราม : อดทนแล้วก็มีลูกเป็นที่ตั้งอย่างเดียว ไม่เอาความรู้สึกตัวเองมาตัดสินใช้ วีจิ เป็นตัวตั้งแล้วก็มาบวกลบคูณหาร แล้วถ้าเกิดผลลัพธ์กระทบต่อลูกแม้แต่นิดเดียวเราจะไม่ทำ

ซึ่งการเป็นแม่ลูก คือ ต้องเป็นแม่ลูกกันตลอดชีวิต การเจอกันของแม่ลูกเรามีกำหนดอะไรไหม
หนุ่ม ศรราม : ตอนแรกก็คือ เจอตามปกติครับ เราก็นัดเจอกันที่ร้านอาหารทานข้าวกันทั้งครอบครัว พอเจอกันครั้งแรกเสร็จต่างคนก็ต่างทำงานแล้วคุณติ๊ก ก็ไปติดต่อมูลนิธิ มูลนิธิหนึ่งขออนุญาตไม่บอกชื่อแล้วคราวนี้ผมติดถ่ายละครอยู่ ซึ่งถ่าย 7 วันติดแล้วเราเลยให้ที่ปรึกษาไปดูว่ามูลนิธิที่เขาติดต่อไว้เป็นยังไง สะอาดไหม ก็ปรากฏว่ามันไม่โอเค (เพราะเป็นความต้องการของ คุณติ๊ก ครับ) แต่เป็นความต้องการของคนที่เป็นแม่ แต่พอทำความต้องการของเขาไปที่แรกผมรู้สึกว่าผมไม่โอเคไม่ปลอดภัย คุณติ๊ก เลยไปประสานงานกับภาครัฐอีกที่หนึ่ง คราวนี้ผมมีวันว่าง ผมไปดูด้วยตัวผมเองแล้วผมก็โอเค แล้วให้เขานัดที่นี่ เป็นที่กลาง ซึ่งก็นัดเจอกันสองครั้งแล้ว

หนุ่ม ศรราม : ผมไม่เคยห้ามไม่ให้แม่ลูกเจอกันเลยครับ แล้วก็มีข่าวออกมาว่าถ้าใช้หนี้ฝั่งผมไม่หมดแล้วจะไม่ให้เจอลูกคือไม่เกี่ยวเลยคือ คุณติ๊ก ใช้หนี้หมดหรือไม่หมด ผมก็ให้เจอลูกอยู่แล้ว หรือคุณติ๊ก ใช้หนี้หมดหรือไม่หมดก็ไม่ใช่เรื่องของผมแล้ว แต่เพียงแต่ว่าเรื่องลูก คุณติ๊ก เป็นคนเสนอมาแล้วผมก็เห็นว่ามันเหมาะสมแล้วผมก็ทำตามแล้วก็ให้ไปเจอสองครั้งแล้วครับ แล้วผมกำหนดว่าระยะแรกขอเป็นเดือนละสองครั้งก่อนเพราะว่าผมงานเยอะจริงๆตอนนี้ 

หนุ่ม ศรราม : การที่ไปเจอคือ ครั้งแรกที่ไปผมถ่ายอินสตราแกรมให้ ถ่ายรูปให้ ผมก็พยายามทำบรรยากาศให้มันเหมือนเดิมก็มีคอมเมนต์เข้ามาว่า อยากจะให้กลับมาอยู่ด้วยกันใหม่กันทั้งบ้าน เพราะเราก็เรียกเขาเหมือนเดิมว่า แม่จ๋า ป้อนน้ำให้ วีจิ คนก็เข้ามาอยากให้กลับมาเป็นครอบครัว ไม่มีแล้วครับ (แล้วที่มีหลายคนถามว่ามาเจอที่บ้านไม่ได้เหรอ) เพราะที่บ้านเราแจ้งไปแล้วไงครับ เราลงบันทึกประจำวันไปแล้วว่าเขาไม่ได้อยู่บ้านหลังนี้ เพราะฉะนั้นถ้าจะเจอต้องเจอกันที่กลางเพื่อความปลอดภัยของ วีจิ 
 
แล้วถ้า พี่หนุ่ม งานลดลงน้อยกว่านี้จะสามารถเจอกันได้สองครั้งไหม
หนุ่ม ศรราม : คือว่าตอนนี้เรื่องมันไปถึงหน่วยงานภาครัฐแล้ว เขาก็จะประเมินความพฤติของพ่อแม่และเด็ก และความเหมาะสมว่าเป็นอย่างไร เพราะทางเขาเป็นคนจัดให้ไปเรียบร้อยแล้วครับ

ผ่านความยากเย็นมาจนถึงทุกวันนี้มีประโยคไหนไหม ที่เป็นประโยคที่ให้กำลังใจตัวเอง
หนุ่ม ศรราม : มีครับ ผมก็จะบอกตัวเองอยู่เสมอว่า สิ่งหนึ่งที่จะปลูกฝังให้ลูกเรื่องแรกเลยคือ การมีสัมมาคารวะ รู้จักกตัญญูรู้คุณ รู้จักตอบแทนพระคุณคนที่มีพระคุณกับเรา ตอบแทนคุณแผ่นดิน ผมเชื่อว่าความกตัญญูคือเป็นสิ่งแรกที่มนุษย์พึงจะมี และสิ่งหนึ่งที่ผมจะพูดอยู่เสมอว่าผมมีปัญญาเลี้ยงลูกได้แค่ไหน ผมก็จะเลี้ยงเท่านั้น เพราะว่า ผมจำคำสอนของในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้ว่าความพอเพียงมันไม่ใช่แค่การกระทำอะไรเกินกำลัง แต่ความพอเพียงนั้นมันคือ การลดความต้องการของตัวเองลง และเมื่อเราลดความต้องการของตัวเองลงได้เราจะไม่เบียดเบียนผู้อื่นครับ

จะเป็นพ่อที่ห่วงลูกสาวไหม 
หน่ม ศรราม : ตอนโตผมก็มีคำพูดที่เตรียมไว้แล้วครับ คือ ถ้าคิดว่าไม่ใช่ก็ไม่ต้องพามาเจอไม่ชอบรับไหว้ใครเยอะ ๆ 

แล้วในวันข้างหน้าสำหรับตัว หนุ่ม  จะเปิดใจ เผื่อมีใครแวะเวียนมาใหม่ไหม
หนุ่ม ศรราม : ยังไม่ได้คิดเลยครับ คือเราไม่รู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น แต่ตอนนี้ วีจิ มาอันดับหนึ่งอยู่แล้วครับ ไม่ได้คิดเรื่องอื่นเลยครับ เพราะเดี๋ยวสองขวบครึ่งก็ต้องเข้าโรงเรียนแล้ว